การเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ได้กระตุ้นให้โบรกเกอร์ในประเทศไทยตื่นตัวในการปรับโครงสร้างธุรกิจ และเพิ่มธุรกรรม หรือสินค้าใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในเครือกลุ่มบริษัท ฟิลลิป แคปปิตอล ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก 15 แห่ง (ปัจจุบัน กลุ่มฟิลลิป แคปปิตอล ได้ขยายสาขาเข้าไปที่ประเทศตุรกี และอินเดีย)
ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุม วันนี้ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จึงอาศัยจุดเด่นดังกล่าว ขยายเพิ่มธุรกรรมทางการเงินรูปใหม่ให้แก่นักลงทุนไทย ด้วยการเปิดให้บริการOffshore Derivatives หรือการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ในตลาดต่างประเทศ ตั้งแต่วันนี้
ปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้เหตุผลแก่ทีมงาน “ASTVผู้จัดการ” ว่า เมื่อช่วงไตรมาส 2/2555 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เห็นชอบแก้ไขหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (exchange traded derivatives) ต่างประเทศของผู้ลงทุนรายย่อยที่ลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ให้สามารถลงทุนได้โดยไม่จำกัดวัตถุประสงค์การลงทุนได้แล้ว เรื่องดังกล่าว ทำให้ บล.ฟิลลิป เดินหน้าพัฒนาระบบการซื้อขายของบริษัทรองรับ เพื่อเชิญชวนให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาเปิดบัญชีลงทุน Offshore Derivatives กับบริษัท
โดยนักลงทุนสามารถเปิดบัญชีดังกล่าวกับ บล.ฟิลลิป ด้วยการวางวงเงินขั้นต่ำประมาณ 300,000 บาท (สามารถเข้าซื้อขายได้ประมาณ 1-2 สัญญา) แต่ทางบริษัทหวังว่านักลงทุนจะวางวงเงินขั้นต่ำที่มากกว่านี้เพื่อป้องกันความผันผวนของสัญญาซื้อขาย
“เรารอมานาน ตั้งแต่ตอนที่แบงก์ชาติอนุมัติให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ตั้งแต่ช่วง 3 ปีก่อน เพราะการลงทุนใน Offshore Derivatives นี้ นักลงทุนไทยหลายรายสนใจ และอยากเข้าไปลงทุนจนกระทั่ง ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แบงก์ชาติไฟเขียวให้ ก.ล.ต.ร่างเกณฑ์ ทางเราก็เริ่มเตรียมความพร้อมทั้งในด้านระบบ และบุคลากร ตอนนี้ก็เปิดให้บริการดังกล่าวแล้ว เราเป็นโบรกเกอร์รายแรก ตอนนี้มีนักลงทุนสนใจ และเปิดบัญชีกับเราแล้วในระดับหนึ่ง และเชื่อว่าในปีนี้ เราน่าจะทำได้กว่า 100 บัญชี
ผมมองว่าเรื่องนี้ถือเป็นการเปิดโอกาส แม้หลายคนมองว่ามีความเสี่ยง แต่สำหรับผู้ที่ศึกษา และเข้าใจในตลาดอนุพันธ์แล้วนี่คือสิ่งที่หลายคนต้องการ ที่ผ่านมาทำไม่ได้ เพราะภาครัฐไม่ยอม ถือเป็นเรื่องที่ผิด แต่ก็มีนักลงทุนไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศเพื่อลงทุนพวกนี้ และเมื่อตอนนี้ได้ทำถูกต้องตามกฏหมายได้แล้ว ก็น่าจะทำให้นักลงทุนหลายรายเข้ามาใช้บริการ เพราะที่นี่มีบริการหลายอย่างรองรับ มีเครื่องมือการลงทุนทุกรูปแบบช่วยบริหารความเสี่ยง”
ทั้งนี้ บริษัทเปิดให้นักลงทุนที่เปิดบัญชี Offshore Derivatives กับบริษัท สามารถเข้าลงทุนตลาดในต่างประเทศได้ 16 แห่ง ผ่านสินค้าเช่น ดัชนี/อัตราแลกเปลี่ยน/ทองคำ/โลหะเงิน/แพลทินัม/พลังงาน ซึ่งเป็นสินค้าที่นักลงทุนไทยสามารถเข้าใจในการลงทุนผ่านตราสารอนุพันธ์เหล่านี้อยู่แล้ว
สำหรับกลยุทธ์ในการรุกตลาด Offshore Derivatives รายแรกในประเทศไทยของ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) บริษัทอาศัยจุดเด่นของสำนักงานใหญ่ (สิงคโปร์) ของกลุ่มฟิลลิป แคปปิตอล มาตอบโจทย์ทางการลงทุนผ่านเครือข่ายสาขาในประเทศต่างๆ ซึ่งในระยะแรก ลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทจะเข้าทำการลงทุนใน Offshore Derivatives ผ่านการซื้อขายบนระบบอินเทอร์เน็ตเทรดดิ้งของฟิลลิป โดยในช่วงกลางคืน (Night Trade) บล.ฟิลลิป จะให้สาขาที่สิงคโปร์เข้ามาเป็นผู้ดูแล และเมื่อปริมาณลูกค้าเพิ่มขึ้น ทางบริษัทจะจัดตั้งทีมงานให้บริการตลอด 24 ชม.แก่ลูกค้า
เตรียมเปิดตัวธุรกรรมใหม่ 8 ก.ย.
ทั้งนี้ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เตรียมจัดสัมมนาให้ความรู้ในการลงทุน Offshore Derivatives ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เพื่อให้นักลงทุนทราบว่า ปัจจุบัน บล.ฟิลลิป เปิดให้บริการลงทุนใน Offshore Derivatives แก่นักลงทุนแล้ว โดยสินค้าตัวแรกที่จะเน้นให้ความรู้ความเข้าใจในการลงทุน คือ ทองคำ ซึ่งบริษัทเปิดโอกาสให้แก่ลูกค้าของบริษัท รวมถึงนักลงทุนที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ได้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจที่จะไปลงทุนทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์มาก
“การให้บริการของเรา นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนในอนุพันธ์ในตลาดต่างประเทศได้หลายตลาด เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ยุโรป ด้วยการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งสินค้าที่เราจะเน้นให้นักลงทุนในช่วงแรก คือ ทองคำ, Index Futures, ราคาน้ำมัน เพราะเป็นเรื่องที่นักลงทุนไทยติดตามอยู่ทุกวัน และเข้าใจในกลไก หรือปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาได้ดี
โดยทองคำในตลาดต่างประเทศมีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนมากกว่าทองคำในประเทศ เพราะในประเทศการแข็งค่า และอ่อนค่าของค่าเงินบาทมีผลต่อราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นลงได้ไม่มาก ขณะที่ราคาทองคำโลกมีการขึ้นลงที่สวิงมากกว่า เช่น ราคาทองคำในตลาด Comex ฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งราคาในแต่ละตลาดจะมีความต่างกัน จึงถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้ามาทำอาบิทราจได้
ขณะเดียวกัน Index Futures ในระยะแรก เราจะเริ่มจากดัชนีที่นักลงทุนสนใจอยู่ก่อนแล้ว ฮั่งเส็ง นิกเกอิ ดาวโจนส์ ทั้งที่ยังมีอีกหลายตลาดซึ่งมีปริมาณซื้อขายในระดับสูง เช่น การเทรดโกลด์ ฟิวเจอร์สที่อินเดีย หรือตลาดอนุพันธ์ในเกาหลี ได้รับความนิยม และมีแอ็กทีฟสูงที่สุดในโลก”
สำหรับตลาดต่างประเทศที่ บล.ฟิลลิป เปิดให้ลูกค้าสามารถเข้าไปลงทุนใน Offshore Derivatives ทั้ง 16 แห่ง ได้แก่ 1.Singapore Exchange, Derivative Trading (SGX-DT) 2.Chicago Mercantile Exchange (CME) 3.Chicago Board of Trade (CBOT) 4.European Exchange (ERUREX) 5.Osaka Stock Exchange (OSE) 6.Tokyo International Financial Futures Exchange (TIFFE) 7.Intercontinental Exchange (ICE formerly IPE) 8.Korea Stock Exchange (KSE) 9.Tokyo Commodity Exchange (TOCOM) 10.Tokyo Stock Exchange (TSE) 11.Hong Kong Futures (HKFE) 12.Euronext Paris (ENTX PARIS) 13.New York Mercantile Exchange (NYMEX) 14.London International Financial Futures & Options Exchange (LIFFE) 15.Sydney Futures Exchange (SFE) และ 16.New York Board of Trade (NYBOT)
ส่วน Offshore Derivatives ที่นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนได้มีอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ประเภท Index Futures เช่น Mini Dow Jones, USD Nikkei 225, Mini Hang Seng ประเภท Metal Futures เช่น Comex Gold ประเภท Energy Futures เช่น NYMEX Crude Oil ประเภท Interest Rate Futures เช่น T-Bond, Eurodollar ประเภท Currency Futures เช่น Australian Dollar, Japan Yen ประเภท Agricultural Futures เช่น Corn, Crude Plam Oil, Raw Sugar เป็นต้น
ที่ผ่านมา บล.ฟิลลิป ได้เปิดให้บริการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกมานานถึง 2 ปีแล้ว โดยสามารถลงทุนได้มากถึง 6 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น อังกฤษ และมาเลเซีย ส่วนธุรกรรมใหม่ Offshore Derivatives ในเบื้องต้น บริษัทตั้งเป้าลูกค้าที่สนใจลงทุนประมาณ 20-30% ของจำนวนลูกค้าที่มีอยู่ 36,000 บัญชี
