กรุงศรีฯ รุกขยายฐานลูกค้าเอสเอ็มอี เปิดโครงการ “กรุงศรี แวลูเชน โซลูชัน” ดึงซัปพลาย เชนจากผู้ค้ารายใหญ่ ปล่อยกู้โอดีทั้ง 2 ขา “ผู้ซื้อ-ผู้ขาย” ตั้งเป้าถึงสิ้นปีอนุมัติวงเงินหมื่นล้าน เบิกใช้ 5 พันล้าน
นายสยาม ประสิทธิศิริกุล ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจลูกค้าเอสเอ็มอี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการขยายสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลาง และย่อม (SME) ว่า ธนาคารได้นำเสนอโครงการ กรุงศรี แวลูเชน โซลูชัน ซึ่งเป็นรูปแบบสินเชื่อเพื่อผู้ขายสินค้า และสินเชื่อผู้ซื้อสินค้า โดยธนาคารจะให้สินเชื่อในรูปของวงเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) ทั้งในส่วนของผู้ขายสินค้าให้ผู้ค้ารายใหญ่ และผู้ที่ซื้อสินค้าของผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนเป็นจะซัปพลาย เชนของผู้ค้ารายใหญ่
ทั้งนี้ จุดเด่นของโครงการดังกล่าว อยู่ที่ความรวดเร็วในขั้นตอนการคัดเลือกคุณสมบัติของผู้ซื้อ และผู้ขายของผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งสามารถอนุมัติวงเงินให้แก่ผู้ประกอบการได้ภายใน 1-2 วัน หลังจากได้รับรายชื่อจากผู้ค้ารายใหญ่ ทำให้ผู้ประกอบการมีความสะดวก และเข้าถึงแหล่งเงินทุนยิ่งขึ้น เนื่องจากเท่าที่สำรวจแล้วพบว่า กลุ่มผู้ประกอบการทั้งด้านผู้ซื้อ และผู้ขายมักจะมีปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนในการจ่ายสินค้าที่ไม่ตรงกับรายรับที่เข้ามา
“ตอนนี้เรามีระบบการอนุมัติที่รวดเร็วขึ้น เพราะเรามีฐานข้อมูลจากผู้ค้ารายใหญ่มาช่วยสนับสนุน เช่น ประวัติการชำระเงิน ระยะเวลาทำธุรกิจเกิน 2 ปีหรือไม่ ซึ่งเมื่อได้รายชื่อมาก็ใช้เวลาไม่มากในการอนุมัติ และเข้าไปนำเสนอโครงการ จากแต่ก่อนบางครั้งใช้เวลาเป็นเดือน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของเงินกู้โอดีก็อยู่ที่ 6-7% ต่ำกว่าเงินกู้ปกติของเอสเอ็มอี 4-5% จึงเชื่อว่าน่าจะมีผลตอบรับที่ดี โดยคาดว่า จนถึงสิ้นปีจะมีวงเงินสินเชื่ออนุมัติ 1 หมื่นล้านบาท มีการเบิกใช้ 5 พันล้านบาท”
นายสยามกล่าวอีกว่า วัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว ธนาคารไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องของดอกเบี้ยเงินกู้ หรือวงเงินสินเชื่อมากนัก แต่การลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ก็จะได้ในเรื่องของรายได้ค่าธรรมเนียม รวมถึงเงินฝาก หรือเงินหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากต่อเนื่องไปด้วย รวมถึงทำให้ธนาคารมีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นด้วย โดยในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้บรรลุข้อตกลงกับผู้ค้ารายใหญ่แล้ว 2 แห่ง ได้แก่ บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง กับบริษัทแอลจี และภายในปีนี้น่าจะดีลอีก 4-5 ราย
สำหรับสินเชื่อเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้เกินเป้าหมายเล็กน้อย จึงเชื่อว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 16% อย่างแน่นอน
นายสยาม ประสิทธิศิริกุล ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจลูกค้าเอสเอ็มอี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการขยายสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลาง และย่อม (SME) ว่า ธนาคารได้นำเสนอโครงการ กรุงศรี แวลูเชน โซลูชัน ซึ่งเป็นรูปแบบสินเชื่อเพื่อผู้ขายสินค้า และสินเชื่อผู้ซื้อสินค้า โดยธนาคารจะให้สินเชื่อในรูปของวงเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) ทั้งในส่วนของผู้ขายสินค้าให้ผู้ค้ารายใหญ่ และผู้ที่ซื้อสินค้าของผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนเป็นจะซัปพลาย เชนของผู้ค้ารายใหญ่
ทั้งนี้ จุดเด่นของโครงการดังกล่าว อยู่ที่ความรวดเร็วในขั้นตอนการคัดเลือกคุณสมบัติของผู้ซื้อ และผู้ขายของผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งสามารถอนุมัติวงเงินให้แก่ผู้ประกอบการได้ภายใน 1-2 วัน หลังจากได้รับรายชื่อจากผู้ค้ารายใหญ่ ทำให้ผู้ประกอบการมีความสะดวก และเข้าถึงแหล่งเงินทุนยิ่งขึ้น เนื่องจากเท่าที่สำรวจแล้วพบว่า กลุ่มผู้ประกอบการทั้งด้านผู้ซื้อ และผู้ขายมักจะมีปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนในการจ่ายสินค้าที่ไม่ตรงกับรายรับที่เข้ามา
“ตอนนี้เรามีระบบการอนุมัติที่รวดเร็วขึ้น เพราะเรามีฐานข้อมูลจากผู้ค้ารายใหญ่มาช่วยสนับสนุน เช่น ประวัติการชำระเงิน ระยะเวลาทำธุรกิจเกิน 2 ปีหรือไม่ ซึ่งเมื่อได้รายชื่อมาก็ใช้เวลาไม่มากในการอนุมัติ และเข้าไปนำเสนอโครงการ จากแต่ก่อนบางครั้งใช้เวลาเป็นเดือน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของเงินกู้โอดีก็อยู่ที่ 6-7% ต่ำกว่าเงินกู้ปกติของเอสเอ็มอี 4-5% จึงเชื่อว่าน่าจะมีผลตอบรับที่ดี โดยคาดว่า จนถึงสิ้นปีจะมีวงเงินสินเชื่ออนุมัติ 1 หมื่นล้านบาท มีการเบิกใช้ 5 พันล้านบาท”
นายสยามกล่าวอีกว่า วัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว ธนาคารไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องของดอกเบี้ยเงินกู้ หรือวงเงินสินเชื่อมากนัก แต่การลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ก็จะได้ในเรื่องของรายได้ค่าธรรมเนียม รวมถึงเงินฝาก หรือเงินหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากต่อเนื่องไปด้วย รวมถึงทำให้ธนาคารมีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นด้วย โดยในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้บรรลุข้อตกลงกับผู้ค้ารายใหญ่แล้ว 2 แห่ง ได้แก่ บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง กับบริษัทแอลจี และภายในปีนี้น่าจะดีลอีก 4-5 ราย
สำหรับสินเชื่อเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้เกินเป้าหมายเล็กน้อย จึงเชื่อว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 16% อย่างแน่นอน