“เอื้อวิทยา” กำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอ 1.80 บาท เตรียมเข้าเทรดวันแรกต้นเดือน ก.ค.นี้ ด้านที่ปรึกษามั่นใจ นักลงทุนแก่ให้ความสนใจจองซื้อ เหตุราคาหุ้นมีส่วนลดให้นักลงทุนถึง 30% แนวโน้มผลประกอบการดี จากงานในมือ 520 ล้าน มีแผนประมูลงานเพิ่มกว่า 3.8 พันล้านบาท “ผู้บริหาร” ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1 พันล้านบาท โตกว่า 50% จากปีก่อน 637 ล้านบาท
นายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) หรือ UWC เปิดเผยว่า บริษัท เอื้อวิทยา กำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 1.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีค่า P/E ที่ 12 เท่า
โดยราคาหุ้นที่เสนอขายครั้งนี้มีส่วนลด 30% จาก P/E ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่ 19 เท่า โดยหุ้นที่จะเสนอขายครั้งนี้จำนวน 99.496 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้ 1 บาท แบ่งเป็นเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) CEN ไม่เกิน 28.3 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน และอีก 71.196 ล้านหุ้น ขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในวันที่ 18-20 มิถุนายน โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ในสัปดาห์แรกเดือนกรกฎาคม 55 นี้
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน 179.09 ล้านบาท บริษัทจะนำไปซื้อเครื่องจักร 30% เพื่อเพิ่มประสิทธิในการผลิตเหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และส่วนที่เหลือ 70% จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ
โดยภายหลังจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ จะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงเหลือ 0.3 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 0.66 เท่า ซึ่งจากราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ของ UWC ถือว่ามีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท จากที่มีส่วนลดถึง 30% และบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปประมูลงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นให้เติบโตต่อเนื่อง และจากบริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสิ้นปี 2554 เพียง 0.66 เท่า ซึ่งหลังจากเพิ่มทุนจะเหลือ 0.3 เท่า มั่นใจว่าหุ้นของ UWC จะได้รับความสนใจจำนวนมากจากนักลงทุน” นายชูพงศ์ กล่าว
นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) หรือ UWC ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสาโครงเหล็กชุบสังกะสี กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมที่ 637 ล้านบาท มี
กำไรสุทธิ 30.94 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีมูลค่างานในมือ จำนวน 520 ล้านบาท และ บริษัทมีแผนที่จะเข้าประมูลงานใหม่ปีนี้อีก 3,800 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานของภาครัฐ เกี่ยวกับสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 KV จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยบริษัทคาดว่าจะได้งานไม่ต่ำกว่า 40% จากที่ยื่นประมูลไป
นายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) หรือ UWC เปิดเผยว่า บริษัท เอื้อวิทยา กำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 1.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีค่า P/E ที่ 12 เท่า
โดยราคาหุ้นที่เสนอขายครั้งนี้มีส่วนลด 30% จาก P/E ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่ 19 เท่า โดยหุ้นที่จะเสนอขายครั้งนี้จำนวน 99.496 ล้านหุ้น มูลค่าตราไว้ 1 บาท แบ่งเป็นเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) CEN ไม่เกิน 28.3 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน และอีก 71.196 ล้านหุ้น ขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในวันที่ 18-20 มิถุนายน โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ในสัปดาห์แรกเดือนกรกฎาคม 55 นี้
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน 179.09 ล้านบาท บริษัทจะนำไปซื้อเครื่องจักร 30% เพื่อเพิ่มประสิทธิในการผลิตเหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และส่วนที่เหลือ 70% จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ
โดยภายหลังจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ จะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงเหลือ 0.3 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 0.66 เท่า ซึ่งจากราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ของ UWC ถือว่ามีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท จากที่มีส่วนลดถึง 30% และบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปประมูลงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นให้เติบโตต่อเนื่อง และจากบริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสิ้นปี 2554 เพียง 0.66 เท่า ซึ่งหลังจากเพิ่มทุนจะเหลือ 0.3 เท่า มั่นใจว่าหุ้นของ UWC จะได้รับความสนใจจำนวนมากจากนักลงทุน” นายชูพงศ์ กล่าว
นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) หรือ UWC ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสาโครงเหล็กชุบสังกะสี กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมที่ 637 ล้านบาท มี
กำไรสุทธิ 30.94 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีมูลค่างานในมือ จำนวน 520 ล้านบาท และ บริษัทมีแผนที่จะเข้าประมูลงานใหม่ปีนี้อีก 3,800 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานของภาครัฐ เกี่ยวกับสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 KV จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยบริษัทคาดว่าจะได้งานไม่ต่ำกว่า 40% จากที่ยื่นประมูลไป
