บ้านปูฯ คาดผลการดำเนินงานในปีนี้จะใกล้เคียงกับปี 54 ที่ผ่านมา จากปริมาณถ่านหินที่เพิ่มขึ้นทั้งจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย มั่นใจปริมาณการผลิตและขายถ่านหินใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ยันกฎระเบียบด้านการทำเหมืองแร่ ทั้งของอินโดนีเซีย และออสเตรเลียไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 55 ว่าจะมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ตามปริมาณการผลิต และยอดขายถ่านหินที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยตั้งเป้าหมายปริมาณการขายถ่านหินรวมจากเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน ที่ประมาณ 47- 48 ล้านตัน จาก 42 ล้านตันในปี 54 โดยปริมาณการขายจากเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย และออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้นประมาณ 8% เป็นประมาณ 27 ล้านตัน และ 16 ล้านตัน ตามลำดับ ส่วนยอดขายที่เหลือคาดว่าจะมาจากประเทศจีน และมองโกเลีย
สำหรับราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของทั้งปีคาดว่าจะดีกว่าปีที่แล้ว โดยราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของอินโดนีเซียจะสูงกว่าปี 54 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 97 เหรียญสหรัฐต่อตัน เช่นเดียวกันราคาขายของถ่านหินออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วชึ่งอยู่ที่ระดับ 75 เหรียญออสเตรเลียต่อตัน ทั้งนี้ การขายถ่านหินจากทั้งสองประเทศได้มีการกำหนดราคาไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นส่วนใหญ่
“ในปีนี้ คาดว่ารายได้จากการขายจะเติบโตได้ ธุรกิจถ่านหินซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ จะได้รับผลดีจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และราคาขายที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่ราบรื่นในไตรมาสแรก และน่าจะยังคงทรงตัวต่อเนื่อง” นายชนินท์กล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/55 ที่ผ่านมา บ้านปูฯ มีปริมาณขายถ่านหิน 9.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า แบ่งเป็น ปริมาณการขายถ่านหินจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย 5.7 ล้านตัน และออสเตรเลีย 3.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 7% และลดลง 3% ตามลำดับ จากไตรมาส 1/54 ในขณะที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยจากเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย และออสเตรเลียในไตรมาสนี้อยู่ที่ 100.63 เหรียญสหรัฐต่อตัน และ 73.02 เหรียญออสเตรเลียต่อตัน ตามลำดับ มีรายได้จากการขายรวม 28,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,132 ล้านบาท หรือ 17% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากปริมาณ และราคาขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายถ่านหิน 26,522 ล้านบาท (คิดเป็น 94% ของรายได้จากการขายรวม) และรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งในประเทศจีน และรายได้อื่นๆ มี 1,789 ล้านบาท (6% ของยอดขายรวม)
สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้นมี 2,785 ล้านบาท ลดลง 70% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และลดลง 21% จากไตรมาส 4 ของปี 54 เนื่องจากไม่มีการบันทึกกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในไตรมาสนี้ หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่มีการบันทึกกำไรหลังหักภาษีจากการขายเหมืองต้าหนิงในประเทศจีน 6,308 ล้านบาท
“หากไม่นับรวมกำไรจากการขายเงินลงทุนแล้วจะเห็นว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 2 เท่า (หรือ 204%) จากไตรมาส 1/54 แบ่งเป็นกำไรจากธุรกิจถ่านหิน 2,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3 เท่า (หรือ 330%) จากไตรมาส 1/54 และกำไรจากธุรกิจไฟฟ้า 477 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21%จาก ไตรมาส 1/54 โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพียังคงดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น และจะยังคงสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ตลอดทั้งปี เนื่องจากมีสัญญารับมอบถ่านหินของปีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว” นายชนินท์กล่าว