นายกฯกดปุ่มเปิดขายกองภัยพิบัติวันแรก ย้ำความเชื่อมั่นต่างชาติ ด้านประธานกองทุนฯชี้เบี้ยประกันต่อต่างประเทศลดฮวบเหลือ 3%ของทุนประกัน เหตุจัดตั้งกองทุนเพิ่มความมั่นใจต่างชาติในการแก้ปัญหา ด้านบิ๊กอสังหาฯ ปิ้งไอเดียขายบ้านแถมประกัน 5 ปีเชื่อกระตุ้นกำลังซื้อบ้านเพิ่มได้
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างการเป็นประธาน เปิดตัวกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ และเปิดตัวกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน จนเป็นที่มาของการจัดตั้งกองทุนฯและเปิดขายกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการที่เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แต่ก็ต้องอาศัยระยะเวลาด้วยเช่นกัน
“การจัดตั้งกองทุนฯขึ้นมาทำให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจในการลงทุน แม้ว่าต้องใช้เวลาก็ตาม ซึ่งต้องยอมรับว่าเหตุการณ์น้ำท่วมในปีที่ผ่านมาภาคเอกชนได้เสียความมั่นใจไปมาก การที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมานั้นต้องอาศัยระยะเวลาด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการดึงความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาอย่างเร่งด่วน รัฐบาลจึงได้ลงมาร่วมกับภาคเอกชน โดยรัฐบาลมีเจตนาอย่างแน่วแน่เพื่อแก้ไขให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี และให้ถือว่าที่ผ่านมาเป็นฝันร้าย”
ทั้งนี้ การตั้งกองทุนฯขึ้นมา ถือเป็นวิธีหนึ่งในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณในการบริหารจัดการน้ำถึง 3.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้รัฐบาลยังได้มองไปถึงการให้สินเชื่อของภาคธนาคารด้วยเกี่ยวกับการฟื้นฟูน้ำท่วม ซึ่งการจัดตั้งกองทุนฯของไทยถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้หลายบริษัทเกิดความมั่นใจเพิ่ม ในขณะที่เบี้ยประกันภัยต่อในต่างประเทศก็มีทิศทางที่ปรับลดลง ดังนั้นจึงถือว่าคณะกรรมการในการจัดตั้งกองทุนได้ตัดสินใจถูกทาง เราขอย้ำว่าจะทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ สุดความสามารถ เพื่อเรียกร้องความเชื่อมั่นกลับคืนมาให้ไวที่สุด
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ กล่าวว่า การจัดตั้งกองทุนขึ้นมาถือว่ามีความเหมาะสมในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทประกันภัย บริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ และภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งให้ภาคธุรกิจโดยรวมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และที่สำคัญการตั้งกองทุนขึ้นมาทำให้มีอิทธิต่อการชี้นำตลาดได้ด้วย
"หลังจากจัดตั้งกองทุนแล้วถือเป็นสัญญาณที่ดีที่เบี้ยประกันภัยเริ่มปรับตัวลดลงมาเหลือประมาณ 3% จากเดิมที่หลังน้ำท่วมบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศคิดเบี้ยสูง 8-10% ของทุนประกัน หรือไม่รับประกันต่อเลย แสดงให้เห็นว่าต่างชาติเริ่มหันมาให้ความเชื่อมั่นกับโครงสร้างความคุ้มครองที่ไทยทำขึ้นกับภาคครัวเรือน เอสเอ็มอี และอุตสาหกรรม"
ด้าน นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) กล่าวว่า การเปิดขายกรมธรรม์ภัยพิบัติก็น่าจะทำให้เป็นแรงกดดันให้เบี้ยประกันภัยต่อในต่างประเทศปรับลดลงได้อีก ซึ่งปัจจุบันเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 3% ของทุนประกัน
สำหรับจำนวนผู้ถือกรมธรรม์ ทั้ง 3 กลุ่ม จากข้อมูลเดิมของคปภ. พบว่า ครัวเรือนมีการทำประกันเอาไว้ 1.3 ล้านครัวเรือน เอสเอ็มอีทำประกันเอาไว้ 22,500 กรมธรรม์ และอุตสาหกรรมทำประกันเอาไว้ 15,000 กรมธรรม์ โดยมั่นใจว่า ทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวจะทำประกันครบทั้งหมด แต่จะมีผู้ที่สนใจหันมาทำประกันเพิ่มเพราะอัตราเบี้ยประกันของกองทุนฯไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
"เชื่อว่าคนจะให้ความสนใจทำประกันตรงนี้เพราะอัตราเบี้ยถูกมากตก 500 บาทต่อปีสำหรับภาคครัวเรือน แต่จะต้องดูว่าอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือทางน้ำผ่านหรือไม่ ซึ่งหากเป็นพื้นที่ดังกล่าวเบื้องต้นถ้ามีการรับประกันของกองทุนไปแล้วก็จะคืนเบี้ยประกันในส่วนน้ำท่วมให้แต่ยังเหลือความคุ้มครองอีก 3ภัยเอา และเชื่อว่าภาครัฐคงมีมาตรการอื่นช่วยเหลืออยู่แล้ว"
อสังหาฯเสนอให้ผู้ประกอบแถมให้ลูกค้านาน5ปี
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า การมีกรมธรรม์ประกันภัยภัยพิบัติ โดยมีกองทุนส่งเสริมการการประกันภัยพิบัติ ทำหน้าที่ประสานงานในเรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้พื้นที่น้ำท่วมในปีที่ผ่านมาได้กลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยในปีที่ผ่านมาพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครประมาณ 60% ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่วนเบี้ยประกันครัวเรือน ที่คิด 0.5%ของทุนประกัน นั้นถือว่ามีความเหมาะสม
“กองทุนฯมีผลในการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นส่วนที่เข้ามาเติมเต็ม ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ได้มีการพึ่งพาตัวเองมากขึ้น และอยากให้ผู้ประกอบการขายบ้านแถมประกันภัยพิบัติ 5 ปี เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าผู้ซื้อบ้านที่อยู่อาศัย ณ ปัจจุบันก็เริ่มมีผู้ประกอบการบางรายได้เริ่มคิดค้นโครงการนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว”
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างการเป็นประธาน เปิดตัวกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ และเปิดตัวกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน จนเป็นที่มาของการจัดตั้งกองทุนฯและเปิดขายกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการที่เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แต่ก็ต้องอาศัยระยะเวลาด้วยเช่นกัน
“การจัดตั้งกองทุนฯขึ้นมาทำให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจในการลงทุน แม้ว่าต้องใช้เวลาก็ตาม ซึ่งต้องยอมรับว่าเหตุการณ์น้ำท่วมในปีที่ผ่านมาภาคเอกชนได้เสียความมั่นใจไปมาก การที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมานั้นต้องอาศัยระยะเวลาด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการดึงความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาอย่างเร่งด่วน รัฐบาลจึงได้ลงมาร่วมกับภาคเอกชน โดยรัฐบาลมีเจตนาอย่างแน่วแน่เพื่อแก้ไขให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี และให้ถือว่าที่ผ่านมาเป็นฝันร้าย”
ทั้งนี้ การตั้งกองทุนฯขึ้นมา ถือเป็นวิธีหนึ่งในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณในการบริหารจัดการน้ำถึง 3.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้รัฐบาลยังได้มองไปถึงการให้สินเชื่อของภาคธนาคารด้วยเกี่ยวกับการฟื้นฟูน้ำท่วม ซึ่งการจัดตั้งกองทุนฯของไทยถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้หลายบริษัทเกิดความมั่นใจเพิ่ม ในขณะที่เบี้ยประกันภัยต่อในต่างประเทศก็มีทิศทางที่ปรับลดลง ดังนั้นจึงถือว่าคณะกรรมการในการจัดตั้งกองทุนได้ตัดสินใจถูกทาง เราขอย้ำว่าจะทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ สุดความสามารถ เพื่อเรียกร้องความเชื่อมั่นกลับคืนมาให้ไวที่สุด
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ กล่าวว่า การจัดตั้งกองทุนขึ้นมาถือว่ามีความเหมาะสมในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทประกันภัย บริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ และภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งให้ภาคธุรกิจโดยรวมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และที่สำคัญการตั้งกองทุนขึ้นมาทำให้มีอิทธิต่อการชี้นำตลาดได้ด้วย
"หลังจากจัดตั้งกองทุนแล้วถือเป็นสัญญาณที่ดีที่เบี้ยประกันภัยเริ่มปรับตัวลดลงมาเหลือประมาณ 3% จากเดิมที่หลังน้ำท่วมบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศคิดเบี้ยสูง 8-10% ของทุนประกัน หรือไม่รับประกันต่อเลย แสดงให้เห็นว่าต่างชาติเริ่มหันมาให้ความเชื่อมั่นกับโครงสร้างความคุ้มครองที่ไทยทำขึ้นกับภาคครัวเรือน เอสเอ็มอี และอุตสาหกรรม"
ด้าน นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) กล่าวว่า การเปิดขายกรมธรรม์ภัยพิบัติก็น่าจะทำให้เป็นแรงกดดันให้เบี้ยประกันภัยต่อในต่างประเทศปรับลดลงได้อีก ซึ่งปัจจุบันเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 3% ของทุนประกัน
สำหรับจำนวนผู้ถือกรมธรรม์ ทั้ง 3 กลุ่ม จากข้อมูลเดิมของคปภ. พบว่า ครัวเรือนมีการทำประกันเอาไว้ 1.3 ล้านครัวเรือน เอสเอ็มอีทำประกันเอาไว้ 22,500 กรมธรรม์ และอุตสาหกรรมทำประกันเอาไว้ 15,000 กรมธรรม์ โดยมั่นใจว่า ทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวจะทำประกันครบทั้งหมด แต่จะมีผู้ที่สนใจหันมาทำประกันเพิ่มเพราะอัตราเบี้ยประกันของกองทุนฯไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
"เชื่อว่าคนจะให้ความสนใจทำประกันตรงนี้เพราะอัตราเบี้ยถูกมากตก 500 บาทต่อปีสำหรับภาคครัวเรือน แต่จะต้องดูว่าอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือทางน้ำผ่านหรือไม่ ซึ่งหากเป็นพื้นที่ดังกล่าวเบื้องต้นถ้ามีการรับประกันของกองทุนไปแล้วก็จะคืนเบี้ยประกันในส่วนน้ำท่วมให้แต่ยังเหลือความคุ้มครองอีก 3ภัยเอา และเชื่อว่าภาครัฐคงมีมาตรการอื่นช่วยเหลืออยู่แล้ว"
อสังหาฯเสนอให้ผู้ประกอบแถมให้ลูกค้านาน5ปี
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า การมีกรมธรรม์ประกันภัยภัยพิบัติ โดยมีกองทุนส่งเสริมการการประกันภัยพิบัติ ทำหน้าที่ประสานงานในเรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้พื้นที่น้ำท่วมในปีที่ผ่านมาได้กลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยในปีที่ผ่านมาพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครประมาณ 60% ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่วนเบี้ยประกันครัวเรือน ที่คิด 0.5%ของทุนประกัน นั้นถือว่ามีความเหมาะสม
“กองทุนฯมีผลในการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นส่วนที่เข้ามาเติมเต็ม ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ได้มีการพึ่งพาตัวเองมากขึ้น และอยากให้ผู้ประกอบการขายบ้านแถมประกันภัยพิบัติ 5 ปี เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าผู้ซื้อบ้านที่อยู่อาศัย ณ ปัจจุบันก็เริ่มมีผู้ประกอบการบางรายได้เริ่มคิดค้นโครงการนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว”
