ตลาดหลักทรัพย์รายงานข้อมูลบริษัทจดทะเบียนปี 2554 ชี้แม้รายได้รวมและกำไรสุทธิสูงขึ้น แต่ต้นทุนในการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ฉุดให้ดัชนีชี้วัดความสามารถในการทำกำไรปรับลดลง ตามอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ลดลงเป็น14.63% รวมทั้งภาระหนี้สินมีแนวโน้มสูงขึ้น
สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงาน SET Note Quarterly Corporate Update พบว่าปี 2554 บริษัทจดทะเบียนมีรายได้จากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นสูง แต่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2553เพราะต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับลดลง โดยในไตรมาส 4/2554 บริษัทจดทะเบียนได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นรวมถึงปัจจัยลบจากเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้กำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2553 และไตรมาส 3/2554
ทั้งนี้ ในปี 2554 บริษัทจดทะเบียนมีรายได้จากการขายและบริการรวมเพิ่มขึ้น 21.32% มาอยู่ที่ระดับ 8,536,635 ล้านบาท แต่ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะต้นทุนการผลิตและการขนส่งซึ่งเพิ่มขึ้นจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 35.72% จากปี2553 ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรจากการดำเนินงาน 663,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 4.76% และมีกำไรสุทธิ592,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 5.28% จากปี 2553 คิดเป็นอัตรากำไรจากการดำเนินงาน 7.78%และอัตรากำไรสุทธิ 6.53% ทำให้มีบริษัทจดทะเบียนที่มีผลกำไรทั้งสิ้น 425 บริษัท คิดเป็น 78.56% ของจำนวนบริษัททั้งหมด และมี 278 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 2553
เมื่อพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่าทุกกลุ่มมีกำไรสุทธิและส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่มีมูลค่ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงคือกลุ่มทรัพยากรและกลุ่มธุรกิจการเงิน ขณะที่มี 3กลุ่มมีกำไรสุทธิลดลงคือกลุ่มธุรกิจบริการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนขายปรับสูงขึ้นและไม่มีกำไรจากรายการพิเศษด้านอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรเงินลงทุนดังเช่นในปี 2553
สำหรับดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปี 2554 พบว่าดัชนีชี้วัดความสามารถในการทำกำไรปรับลดลงโดยมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ลดลงเป็น14.63% รวมถึงภาระหนี้สินมีแนวโน้มสูงขึ้นสะท้อนจากระดับหนี้สินต่อทุนซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 1.32 เท่า อย่างไรก็ดีบริษัทจดทะเบียนสามารถใช้สินทรัพย์ได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการสร้างรายได้โดยมีอัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (asset turnover ratio) ปรับสูงขึ้นจาก 104.90% ในปี 2553 เป็น 111.63%
นอจกานี้ ในปี 2554 บริษัทจดทะเบียนมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร 409,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.91% จากปี 2553 โดยทุกกลุ่มมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มทรัพยากรและกลุ่มธุรกิจการเงินสำหรับกลุ่มที่มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นสูงคือกลุ่มธุรกิจบริการ กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
ด้านการระดมทุนในรูปตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนในปี 2554 มีมูลค่ารวม 83,323 ล้านบาท ลดลง 7.96% จากปี 2553 โดยมีบริษัทระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์จำนวน 252 บริษัท คิดเป็น 46.24%ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ลดลงเล็กน้อยจาก 47.04% ในปี 2553 โดยมีการระดมทุนในตลาดแรกมูลค่า18,463 ล้านบาท จากบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ 10 บริษัท (SET จำนวน 3 บริษัท และ mai จำนวน 7 บริษัท)และมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เข้าจดทะเบียนใหม่จำนวน 6 กองทุน ขณะที่การระดมทุนในตลาดรอง มีมูลค่ารวม64,860 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2554 พบว่าบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิลดลงจากไตรมาส 4/2553 เนื่องจากต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่ารายได้โดยเฉพาะผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมเป็นปัจจัยลบที่กระทบต่อผลประกอบการ
สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงาน SET Note Quarterly Corporate Update พบว่าปี 2554 บริษัทจดทะเบียนมีรายได้จากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นสูง แต่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2553เพราะต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับลดลง โดยในไตรมาส 4/2554 บริษัทจดทะเบียนได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นรวมถึงปัจจัยลบจากเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้กำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2553 และไตรมาส 3/2554
ทั้งนี้ ในปี 2554 บริษัทจดทะเบียนมีรายได้จากการขายและบริการรวมเพิ่มขึ้น 21.32% มาอยู่ที่ระดับ 8,536,635 ล้านบาท แต่ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะต้นทุนการผลิตและการขนส่งซึ่งเพิ่มขึ้นจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 35.72% จากปี2553 ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรจากการดำเนินงาน 663,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 4.76% และมีกำไรสุทธิ592,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 5.28% จากปี 2553 คิดเป็นอัตรากำไรจากการดำเนินงาน 7.78%และอัตรากำไรสุทธิ 6.53% ทำให้มีบริษัทจดทะเบียนที่มีผลกำไรทั้งสิ้น 425 บริษัท คิดเป็น 78.56% ของจำนวนบริษัททั้งหมด และมี 278 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 2553
เมื่อพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่าทุกกลุ่มมีกำไรสุทธิและส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่มีมูลค่ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงคือกลุ่มทรัพยากรและกลุ่มธุรกิจการเงิน ขณะที่มี 3กลุ่มมีกำไรสุทธิลดลงคือกลุ่มธุรกิจบริการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนขายปรับสูงขึ้นและไม่มีกำไรจากรายการพิเศษด้านอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรเงินลงทุนดังเช่นในปี 2553
สำหรับดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปี 2554 พบว่าดัชนีชี้วัดความสามารถในการทำกำไรปรับลดลงโดยมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ลดลงเป็น14.63% รวมถึงภาระหนี้สินมีแนวโน้มสูงขึ้นสะท้อนจากระดับหนี้สินต่อทุนซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 1.32 เท่า อย่างไรก็ดีบริษัทจดทะเบียนสามารถใช้สินทรัพย์ได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการสร้างรายได้โดยมีอัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (asset turnover ratio) ปรับสูงขึ้นจาก 104.90% ในปี 2553 เป็น 111.63%
นอจกานี้ ในปี 2554 บริษัทจดทะเบียนมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร 409,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.91% จากปี 2553 โดยทุกกลุ่มมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มทรัพยากรและกลุ่มธุรกิจการเงินสำหรับกลุ่มที่มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นสูงคือกลุ่มธุรกิจบริการ กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
ด้านการระดมทุนในรูปตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนในปี 2554 มีมูลค่ารวม 83,323 ล้านบาท ลดลง 7.96% จากปี 2553 โดยมีบริษัทระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์จำนวน 252 บริษัท คิดเป็น 46.24%ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ลดลงเล็กน้อยจาก 47.04% ในปี 2553 โดยมีการระดมทุนในตลาดแรกมูลค่า18,463 ล้านบาท จากบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ 10 บริษัท (SET จำนวน 3 บริษัท และ mai จำนวน 7 บริษัท)และมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เข้าจดทะเบียนใหม่จำนวน 6 กองทุน ขณะที่การระดมทุนในตลาดรอง มีมูลค่ารวม64,860 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2554 พบว่าบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิลดลงจากไตรมาส 4/2553 เนื่องจากต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่ารายได้โดยเฉพาะผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมเป็นปัจจัยลบที่กระทบต่อผลประกอบการ