ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.สผ.เตรียมลดสัดส่วนการถือหุ้นในแปลงปิโตรเลียมทะเลน้ำลึกในอันดามันในแปลงเอ4,5,6/48 แปลงปิโตรเลียมในอินโดนีเซีย และแปลงเอ็ม 11 ในพม่า เพื่อบริหารความเสี่ยงในการลงทุน เผยขณะนี้มีต่างชาติหลายรายให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตร แย้มกลางปีนี้ได้ข้อสรุปเข้าไปถือหุ้นในแหล่งแอลเอ็นจีเพิ่มเติมตามนโยบายบริษัทฯแม่ที่ทำสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจีโดยให้ปตท.สผ.เข้าถือหุ้นในแหล่งผลิตด้วย ตั้งเป้ายอดขายปิโตรเลียมปีนี้ 2.87 แสนบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 8%จากปีก่อน
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(ปตท.สผ.) เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาร่วมถือหุ้นในสัมปทานปิโตรเลียมแปลงทะเลอันดามัน เพื่อบริหารความเสี่ยงในการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียม ได้แก่ โครงการเอ 4,5และ6/2548
ซึ่งเป็นแปลงสัมปทานปิโตรเลียมในทะเลอันดามันฝั่งตะวันตกของประเทศไทยที่ปตท.สผ.เป็นผู้ดำเนินการอยู่ โดยถือหุ้นทั้งสิ้น 100% โครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 3แปลงในอินโดนีเซีย และโครงการปิโตรเลียมแปลงเอ็ม 11 ที่สหภาพพม่า ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติหลายรายให้ความสนใจเข้าร่วมทุนโครงการดังกล่าว
แม้ว่าปตท.สผ.จะดึงพันธมิตรร่วมทุนเข้ามาถือหุ้นในโครงการดังกล่าวข้างต้น แต่บริษัทฯยังต้องการเป็นผู้ดำเนินการอยู่ โดยจะยังรักษาสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 40%ในแปลงเอ4,5 และ6/2548 ส่วนแปลงปิโตรเลียมในอินโดนีเซียนั้นปตท.สผ.จะลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือเพียง 1 ใน 3 จากที่ถือหุ้นอยู่ 67% สำหรับการหาพาร์ทเนอร์ในแปลงเอ็ม 11 ที่สหภาพพม่า คาดว่าไตรมาสนี้จะได้ข้อสรุปโดยไม่จำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์รายเดียว
ก่อนหน้านี้ ปตท.สผ.ได้มีการดึงเชลล์เข้ามาร่วมสำรวจในโครงการนิวซีแลนด์ เกรทเซ้าธ์ ซึ่งเป็นสัมปทานปิโตรเลียมนอกชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งล่าสุดทางเชลล์ฯก็มีความสนใจที่จะเข้ามาร่วมสำรวจปิโตรเลียในทะเลอันดามัน รวมทั้งบริษัท Statoil Canada Ltd ที่มีความสนใจต้องการเข้ามาสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในภูมิภาคเอเชียขณะที่ปตท.สผ.เองก็ต้องการเข้าไปสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในอเมริกาเหนือและอาฟริกา
นายอนนต์ กล่าวต่อไปว่า ยุทธศาสตร์การลงทุนของ ปตท.สผ.จะเดินหน้าร่วมกับกลุ่ม ปตท.ในการลงทุนสำรวจและปิโตรเลียมเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน นอกเหนือจากการร่วมทุนกับปตท.ในโครงการFLNGที่ออสเตรเลียแล้ว ในกลางปีนี้คาดว่าปตท.สผ.จะได้ข้อสรุปในการเข้าไปถือหุ้นในแหล่งผลิตแอลเอ็นจีที่ปตท.ทำสัญญาซื้อขายก๊าซแอลเอ็นจีจากต่างประเทศอย่างน้อย 1 แห่งซึ่งสอดคล้องกับตามนโยบายของบริษัทแม่ที่ต้องการให้ปตท.สผ.เข้าไปถือหุ้นในแหล่งต้นน้ำ เนื่องจากแนวโน้มราคาแอลเอ็นจีในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดราคาแอลเอ็นจีในตลาดจรอยู่ที่ 15-16 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู
ส่วนการเข้าไปซื้อกิจการ(M&A)ปิโตรเลียมในต่างประเทศนั้น จากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯและปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป เป็นโอกาสดีในการเข้าบริษัทฯจะเข้าไปซื้อกิจการปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพราะราคาทรัพย์สินน่าจะไม่สูง แต่การตัดสินใจลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ผลีผลาม อีกทั้งสถานการณ์ราคาพลังงานมีความผันผวนสูงขณะเดียวกันก็ต้องดูขีดความสามารถในการก่อหนี้ และกระแสเงินสดของบริษัทฯในการลงทุนด้วย โดยจะโฟกัสการลงทุนในประเทศที่บริษัทฯมีศักยภาพในการเติบโต อาทิ ออสเตรเลีย พม่า เป็นต้น
นายอนนต์ กล่าวต่อไปว่า เป้าหมายการขายปิโตรเลียมในปีนี้อยู่ที่ 2.87 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 8%จากปีก่อนที่มียอดขายปิโตรเลียมอยู่ที่ 2.65 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิมเล็กน้อย โดยยอดขายปิโตรเลียมปีนี้ที่เติบโตขึ้นมาจากกำลังการผลิตปิโตรเลียมที่แหล่งบงกชใต้ คาดว่าจะผลิตก๊าซฯ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเร็วกว่ากำหนดการเดิม 3เดือน แหล่งมอนทารา ที่ออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าจะผลิตน้ำมันดิบได้ 3 หมื่นบาร์เรลต่อวันในปลายไตรมาส 2หรือต้นไตรมาส 3/2555 โครงการเวียดนาม 16-1 ที่จะผลิตน้ำมันดิบได้เต็มปี และแหล่งออยล์ แซนด์ ที่แคนาดา มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 -2 หมื่นบาร์เรลต่อวัน
สำหรับงบประมาณรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) และรายจ่ายดำเนินงาน (Operating Expenditure) 5 ปีนี้ (2555-2559 ) อยู่ที่ 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุน 3.5 -3.6 แสนล้านบาท โดยปีนี้ตั้งงบรายจ่ายไว้ 1.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบก่อสร้างประมาณ 1 แสนล้านบาท งบขุดเจาะสำรวจ 2 หมื่นล้านบาท และงบดำเนินการ 3 หมื่นล้านบาท
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(ปตท.สผ.) เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาร่วมถือหุ้นในสัมปทานปิโตรเลียมแปลงทะเลอันดามัน เพื่อบริหารความเสี่ยงในการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียม ได้แก่ โครงการเอ 4,5และ6/2548
ซึ่งเป็นแปลงสัมปทานปิโตรเลียมในทะเลอันดามันฝั่งตะวันตกของประเทศไทยที่ปตท.สผ.เป็นผู้ดำเนินการอยู่ โดยถือหุ้นทั้งสิ้น 100% โครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 3แปลงในอินโดนีเซีย และโครงการปิโตรเลียมแปลงเอ็ม 11 ที่สหภาพพม่า ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติหลายรายให้ความสนใจเข้าร่วมทุนโครงการดังกล่าว
แม้ว่าปตท.สผ.จะดึงพันธมิตรร่วมทุนเข้ามาถือหุ้นในโครงการดังกล่าวข้างต้น แต่บริษัทฯยังต้องการเป็นผู้ดำเนินการอยู่ โดยจะยังรักษาสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 40%ในแปลงเอ4,5 และ6/2548 ส่วนแปลงปิโตรเลียมในอินโดนีเซียนั้นปตท.สผ.จะลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือเพียง 1 ใน 3 จากที่ถือหุ้นอยู่ 67% สำหรับการหาพาร์ทเนอร์ในแปลงเอ็ม 11 ที่สหภาพพม่า คาดว่าไตรมาสนี้จะได้ข้อสรุปโดยไม่จำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์รายเดียว
ก่อนหน้านี้ ปตท.สผ.ได้มีการดึงเชลล์เข้ามาร่วมสำรวจในโครงการนิวซีแลนด์ เกรทเซ้าธ์ ซึ่งเป็นสัมปทานปิโตรเลียมนอกชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งล่าสุดทางเชลล์ฯก็มีความสนใจที่จะเข้ามาร่วมสำรวจปิโตรเลียในทะเลอันดามัน รวมทั้งบริษัท Statoil Canada Ltd ที่มีความสนใจต้องการเข้ามาสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในภูมิภาคเอเชียขณะที่ปตท.สผ.เองก็ต้องการเข้าไปสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในอเมริกาเหนือและอาฟริกา
นายอนนต์ กล่าวต่อไปว่า ยุทธศาสตร์การลงทุนของ ปตท.สผ.จะเดินหน้าร่วมกับกลุ่ม ปตท.ในการลงทุนสำรวจและปิโตรเลียมเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน นอกเหนือจากการร่วมทุนกับปตท.ในโครงการFLNGที่ออสเตรเลียแล้ว ในกลางปีนี้คาดว่าปตท.สผ.จะได้ข้อสรุปในการเข้าไปถือหุ้นในแหล่งผลิตแอลเอ็นจีที่ปตท.ทำสัญญาซื้อขายก๊าซแอลเอ็นจีจากต่างประเทศอย่างน้อย 1 แห่งซึ่งสอดคล้องกับตามนโยบายของบริษัทแม่ที่ต้องการให้ปตท.สผ.เข้าไปถือหุ้นในแหล่งต้นน้ำ เนื่องจากแนวโน้มราคาแอลเอ็นจีในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดราคาแอลเอ็นจีในตลาดจรอยู่ที่ 15-16 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู
ส่วนการเข้าไปซื้อกิจการ(M&A)ปิโตรเลียมในต่างประเทศนั้น จากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯและปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป เป็นโอกาสดีในการเข้าบริษัทฯจะเข้าไปซื้อกิจการปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพราะราคาทรัพย์สินน่าจะไม่สูง แต่การตัดสินใจลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ผลีผลาม อีกทั้งสถานการณ์ราคาพลังงานมีความผันผวนสูงขณะเดียวกันก็ต้องดูขีดความสามารถในการก่อหนี้ และกระแสเงินสดของบริษัทฯในการลงทุนด้วย โดยจะโฟกัสการลงทุนในประเทศที่บริษัทฯมีศักยภาพในการเติบโต อาทิ ออสเตรเลีย พม่า เป็นต้น
นายอนนต์ กล่าวต่อไปว่า เป้าหมายการขายปิโตรเลียมในปีนี้อยู่ที่ 2.87 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 8%จากปีก่อนที่มียอดขายปิโตรเลียมอยู่ที่ 2.65 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิมเล็กน้อย โดยยอดขายปิโตรเลียมปีนี้ที่เติบโตขึ้นมาจากกำลังการผลิตปิโตรเลียมที่แหล่งบงกชใต้ คาดว่าจะผลิตก๊าซฯ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเร็วกว่ากำหนดการเดิม 3เดือน แหล่งมอนทารา ที่ออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าจะผลิตน้ำมันดิบได้ 3 หมื่นบาร์เรลต่อวันในปลายไตรมาส 2หรือต้นไตรมาส 3/2555 โครงการเวียดนาม 16-1 ที่จะผลิตน้ำมันดิบได้เต็มปี และแหล่งออยล์ แซนด์ ที่แคนาดา มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 -2 หมื่นบาร์เรลต่อวัน
สำหรับงบประมาณรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) และรายจ่ายดำเนินงาน (Operating Expenditure) 5 ปีนี้ (2555-2559 ) อยู่ที่ 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุน 3.5 -3.6 แสนล้านบาท โดยปีนี้ตั้งงบรายจ่ายไว้ 1.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบก่อสร้างประมาณ 1 แสนล้านบาท งบขุดเจาะสำรวจ 2 หมื่นล้านบาท และงบดำเนินการ 3 หมื่นล้านบาท
