ASTV ผู้จัดการรายวัน - "บ้านปู" ไตรมาส3 โกยรายได้ 3 หมื่นล้าน จากปริมาณการขาย และราคาถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนเหตุกำไรลดลง เพราะไตรมาส3ปีก่อน มีการรับรู้รายได้จากการขายหุ้น PT. Indo Tambangraya Megah Tbk (ITM)
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีจำนวนทั้งสิ้น 4,208 ล้านบาท ลดลง 9,079 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 68 จากในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมีกำไรจากการจำหน่ายหุ้นร้อยละ 8.72 ในบริษัท PT. Indo Tambangraya Megah Tbk (ITM) จำนวน 11,692 ล้านบาท
แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรสุทธิจากการดำเนินงานแล้ว กำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาได้ปรับตัวสูงขึ้นจำนวน 2,607 ล้านบาท หรือร้อยละ 163 จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจถ่านหิน นอกจากนี้ หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีนี้ กำไรสุทธิของไตรมาส 3/2554 ปรับเพิ่มขึ้น 1,047 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีนี้ร้อยละ 33
โดยรายได้จากการขายรวมในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีจำนวน 30,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16, 997 ล้านบาท หรือร้อยละ 124 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นผลจากปริมาณขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นเป็น 10.94 ล้านตัน จาก 5.05 ล้านตันในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 117 ในขณะที่ราคาขายถ่านหินในไตรมาสนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยราคาขายเฉลี่ยถ่านหินของเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียอยู่ที่ 98.99 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 และร้อยละ 3 จากไตรมาส 2 ของปีนี้ตามลำดับ
สำหรับรายได้จากการขายถ่านหินซึ่งคิดเป็นร้อยละ 96 ของรายได้จากการขายรวมประกอบด้วยรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย จำนวน 20,700 ล้านบาท ออสเตรเลียจำนวน 8,830 ล้านบาท และไทย จำนวน 8 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งในประเทศจีน และรายได้อื่นๆ มีจำนวน 1,147 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 ของยอดขายรวม
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีจำนวนทั้งสิ้น 4,208 ล้านบาท ลดลง 9,079 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 68 จากในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมีกำไรจากการจำหน่ายหุ้นร้อยละ 8.72 ในบริษัท PT. Indo Tambangraya Megah Tbk (ITM) จำนวน 11,692 ล้านบาท
แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรสุทธิจากการดำเนินงานแล้ว กำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาได้ปรับตัวสูงขึ้นจำนวน 2,607 ล้านบาท หรือร้อยละ 163 จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจถ่านหิน นอกจากนี้ หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีนี้ กำไรสุทธิของไตรมาส 3/2554 ปรับเพิ่มขึ้น 1,047 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีนี้ร้อยละ 33
โดยรายได้จากการขายรวมในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีจำนวน 30,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16, 997 ล้านบาท หรือร้อยละ 124 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นผลจากปริมาณขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นเป็น 10.94 ล้านตัน จาก 5.05 ล้านตันในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 117 ในขณะที่ราคาขายถ่านหินในไตรมาสนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยราคาขายเฉลี่ยถ่านหินของเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียอยู่ที่ 98.99 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 และร้อยละ 3 จากไตรมาส 2 ของปีนี้ตามลำดับ
สำหรับรายได้จากการขายถ่านหินซึ่งคิดเป็นร้อยละ 96 ของรายได้จากการขายรวมประกอบด้วยรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย จำนวน 20,700 ล้านบาท ออสเตรเลียจำนวน 8,830 ล้านบาท และไทย จำนวน 8 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งในประเทศจีน และรายได้อื่นๆ มีจำนวน 1,147 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 ของยอดขายรวม