ASTV ผู้จัดการรายวัน - "เดลต้า อีเลคโทรนิคส์" กำไรลดเหลือ 752 ล้านบาทในยไตรมาส3/54 เหตุยอดขายโซลาร์อินเวอร์เตอร์ในยุโรปที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งปริมาณการขายและราคาขาย ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งอัตราค่าใช้จ่ายการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อยยอดขายได้เพิ่มสูงขึ้น เพื่อรักษาระดับการพัฒนางานด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ชี้แจงผลการดาเนินงานในไตรมาสสามของปี 2554 (ก.ค.-ก.ย. 2554) ตามงบการเงินรวมฉบับสอบทานสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2554 ว่า ยอดขายในไตรมาส3ปี 2554 เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1 จากจำนวน 10,067 ล้านบาทของไตรมาสเดียวกันปีก่อนเป็น 10,174 ล้านบาท โดยเกือบทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ IESBG (สินค้าในกลุ่มส่วนใหญ่ประกอบด้วยเพาเวอร์ซิสเต็มสาหรับระบบโทรคมนาคม) ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 36 จากยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในตลาดอเมริกาใต้และยุโรป
นอกจากนี้ ธุรกิจในกลุ่ม Pan PSBG (ประกอบด้วยเพาเวอร์ซัพพลายสาหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม IT ได้แก่ เซิร์ฟเวอร์ เน็ตเวิร์คกิ้ง ผลิตภัณฑ์กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการบริโภค และดีซีดีซีคอนเวอร์เตอร์) ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจเช่นกัน โดยยอดขายของสินค้าในกลุ่มนี้โดยรวมได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 18 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลิตภัณฑ์โซลาร์อินเวอร์เตอร์ในไตรมาสนี้มียอดขายลดลงถึงร้อยละ 78 จากไตรมาส3/53 เนื่องจากความซบเซาของตลาดผลิตภัณฑ์โซลาร์ในยุโรป
ส่วนอัตรากาไรขั้นต้นในไตรมาส3ปีนี้ ลดลงจากร้อยละ 28.8 ในไตรมาส3/53 เหลือร้อยละ 23.3 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยอดขายโซลาร์อินเวอร์เตอร์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งปริมาณการขายและราคาขายประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งอัตราค่าใช้จ่ายการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อยยอดขายได้เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 4.2 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็นร้อยละ 5.1 เนื่องจากบริษัทฯต้องการรักษาระดับการพัฒนางานด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และกิจกรรมด้านการขายไว้ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนา) ต่อยอดขายในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.4 ในช่วงเดียวกันปี 2553 เป็นร้อยละ 10.8
ดังนั้น จึงเป็นผลให้อัตรากำไรจาการดำเนินงาน (หลังรวมค่าวิจัยและพัฒนา) มีอัตราลดลงจากร้อยละ 14.2 ในไตรมาส3ของปีก่อนเป็นร้อยละ 7.4 ในไตรมาสนี้ และกำไรสุทธิในงวดนี้ลดลงจากจำนวน1,634 ล้านบาทเหลือเพียง 752 ล้านบาทหรือคิดเป็นลดลงร้อยละ 54 และมีกาไรต่อหุ้น 0.60 บาทลดลงจาก 1.31 บาทในงวดไตรมาส3/53
บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ชี้แจงผลการดาเนินงานในไตรมาสสามของปี 2554 (ก.ค.-ก.ย. 2554) ตามงบการเงินรวมฉบับสอบทานสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2554 ว่า ยอดขายในไตรมาส3ปี 2554 เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1 จากจำนวน 10,067 ล้านบาทของไตรมาสเดียวกันปีก่อนเป็น 10,174 ล้านบาท โดยเกือบทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ IESBG (สินค้าในกลุ่มส่วนใหญ่ประกอบด้วยเพาเวอร์ซิสเต็มสาหรับระบบโทรคมนาคม) ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 36 จากยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในตลาดอเมริกาใต้และยุโรป
นอกจากนี้ ธุรกิจในกลุ่ม Pan PSBG (ประกอบด้วยเพาเวอร์ซัพพลายสาหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม IT ได้แก่ เซิร์ฟเวอร์ เน็ตเวิร์คกิ้ง ผลิตภัณฑ์กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการบริโภค และดีซีดีซีคอนเวอร์เตอร์) ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจเช่นกัน โดยยอดขายของสินค้าในกลุ่มนี้โดยรวมได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 18 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลิตภัณฑ์โซลาร์อินเวอร์เตอร์ในไตรมาสนี้มียอดขายลดลงถึงร้อยละ 78 จากไตรมาส3/53 เนื่องจากความซบเซาของตลาดผลิตภัณฑ์โซลาร์ในยุโรป
ส่วนอัตรากาไรขั้นต้นในไตรมาส3ปีนี้ ลดลงจากร้อยละ 28.8 ในไตรมาส3/53 เหลือร้อยละ 23.3 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยอดขายโซลาร์อินเวอร์เตอร์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งปริมาณการขายและราคาขายประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งอัตราค่าใช้จ่ายการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อยยอดขายได้เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 4.2 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็นร้อยละ 5.1 เนื่องจากบริษัทฯต้องการรักษาระดับการพัฒนางานด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และกิจกรรมด้านการขายไว้ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนา) ต่อยอดขายในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.4 ในช่วงเดียวกันปี 2553 เป็นร้อยละ 10.8
ดังนั้น จึงเป็นผลให้อัตรากำไรจาการดำเนินงาน (หลังรวมค่าวิจัยและพัฒนา) มีอัตราลดลงจากร้อยละ 14.2 ในไตรมาส3ของปีก่อนเป็นร้อยละ 7.4 ในไตรมาสนี้ และกำไรสุทธิในงวดนี้ลดลงจากจำนวน1,634 ล้านบาทเหลือเพียง 752 ล้านบาทหรือคิดเป็นลดลงร้อยละ 54 และมีกาไรต่อหุ้น 0.60 บาทลดลงจาก 1.31 บาทในงวดไตรมาส3/53