ตลาดอนุพันธ์ เตรียมปรับเพิ่มอัตรามาร์จิน (Margin) สำหรับโกลด์ฟิวเจอร์ส และฟิวเจอร์สของดอกเบี้ย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความผันผวนของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ดีเดย์อัตราใหม่ 19 กันยายนนี้ ขณะที่ โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV11 วานนี้ ปรับตัวลดลง 410 บาท
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ระดับราคาทองค่ำและอัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนขึ้นอย่างมาก สำนักหักบัญชีจึงได้ทบทวนอัตราหลักประกันของสินค้าต่างๆ ในตลาดอนุพันธ์ โดยสำนักหักบัญชีได้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราหลักประกันของโกลด์ฟิวเจอร์สและฟิวเจอร์สของดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2554 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การปรับหลักประกันดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราหลักประกันที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากผู้ลงทุนทั่วไปตามมาตรฐานของชมรมผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ FI Club เปลี่ยนแปลงไปดังนี้ คือ หลักประกันของโกลด์ฟิวเจอร์ส ขนาด 50 บาททองคำ เพิ่มขึ้นจาก 74,100 บาทต่อสัญญา มาเป็น 92,150 บาทต่อสัญญา โกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 10 บาททองคำ จาก 14,820 บาทต่อสัญญา มาเป็น 18,430 บาทต่อสัญญา
ขณะที่ ฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย THBFIX ประเภท 6 เดือน เพิ่มขึ้นจาก 10,450 บาทต่อสัญญา มาเป็น 21,850 บาทต่อสัญญา และฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี เพิ่มขึ้นจาก 5,890 บาทต่อสัญญา มาเป็น 9,500 บาทต่อสัญญา นอกจากนี้ ยังมีการปรับอัตราหลักประกันของฟิวเจอร์สของหุ้นรายตัวเพิ่มขึ้นสำหรับ 7 หุ้นอ้างอิงด้วย
“การปรับเปลี่ยนหลักประกันในครั้งนี้ มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างสูง ตลาดอนุพันธ์ จึงต้องการแจ้งข้อมูลให้ผู้ลงทุนทราบล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมเงินสำรองไว้สำหรับการวางหลักประกันได้ทันการณ์ เนื่องจากในช่วงที่สภาพตลาดมีความผันผวนเช่นนี้ ผู้ลงทุนจะมีการซื้อขายเพิ่มขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนสถานะและทำกำไร ดังจะเห็นได้จากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์เพิ่มสูงขึ้นจนทำสถิติสูงสุดถึง 122,572 สัญญาในวันที่ 25 สิงหาคม 2555 ซึ่งในส่วนปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นนี้ ตลาดอนุพันธ์มีความพร้อมและมั่นใจว่าระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์สามารถรองรับได้ แม้ปริมาณการซื้อขายจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางเกศรา กล่าว
สำหรับภาวการณ์ลงทุนในตลาดทองคำแท่ง และโกลด์ฟิวเจอร์ส วานนี้ (13 ก.ย.) ราคาทองแท่งคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,802.79-1,834.35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV11 อยู่ที่ 26,340 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 410 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 26,750 บาท
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ระดับราคาทองค่ำและอัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนขึ้นอย่างมาก สำนักหักบัญชีจึงได้ทบทวนอัตราหลักประกันของสินค้าต่างๆ ในตลาดอนุพันธ์ โดยสำนักหักบัญชีได้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราหลักประกันของโกลด์ฟิวเจอร์สและฟิวเจอร์สของดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2554 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การปรับหลักประกันดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราหลักประกันที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากผู้ลงทุนทั่วไปตามมาตรฐานของชมรมผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ FI Club เปลี่ยนแปลงไปดังนี้ คือ หลักประกันของโกลด์ฟิวเจอร์ส ขนาด 50 บาททองคำ เพิ่มขึ้นจาก 74,100 บาทต่อสัญญา มาเป็น 92,150 บาทต่อสัญญา โกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 10 บาททองคำ จาก 14,820 บาทต่อสัญญา มาเป็น 18,430 บาทต่อสัญญา
ขณะที่ ฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ย THBFIX ประเภท 6 เดือน เพิ่มขึ้นจาก 10,450 บาทต่อสัญญา มาเป็น 21,850 บาทต่อสัญญา และฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี เพิ่มขึ้นจาก 5,890 บาทต่อสัญญา มาเป็น 9,500 บาทต่อสัญญา นอกจากนี้ ยังมีการปรับอัตราหลักประกันของฟิวเจอร์สของหุ้นรายตัวเพิ่มขึ้นสำหรับ 7 หุ้นอ้างอิงด้วย
“การปรับเปลี่ยนหลักประกันในครั้งนี้ มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างสูง ตลาดอนุพันธ์ จึงต้องการแจ้งข้อมูลให้ผู้ลงทุนทราบล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมเงินสำรองไว้สำหรับการวางหลักประกันได้ทันการณ์ เนื่องจากในช่วงที่สภาพตลาดมีความผันผวนเช่นนี้ ผู้ลงทุนจะมีการซื้อขายเพิ่มขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนสถานะและทำกำไร ดังจะเห็นได้จากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์เพิ่มสูงขึ้นจนทำสถิติสูงสุดถึง 122,572 สัญญาในวันที่ 25 สิงหาคม 2555 ซึ่งในส่วนปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นนี้ ตลาดอนุพันธ์มีความพร้อมและมั่นใจว่าระบบการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์สามารถรองรับได้ แม้ปริมาณการซื้อขายจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางเกศรา กล่าว
สำหรับภาวการณ์ลงทุนในตลาดทองคำแท่ง และโกลด์ฟิวเจอร์ส วานนี้ (13 ก.ย.) ราคาทองแท่งคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,802.79-1,834.35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV11 อยู่ที่ 26,340 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 410 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 26,750 บาท