ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นสูง เตะตากองทุนต่างชาติ แห่นำดัชนี SET 50 อ้างอิงกองทุนอีทีเอฟจดทะเบียนในต่างประเทศ แย้ม บลจ.ฮ่องกง เตรียมคลอดกองทุนทีอีเอฟอิงหุ้นไทย ก.ย. นี้ หลังเทรดที่ฝรั่งเศส-ญี่ปุ่นแล้ว ชี้ส่งผลดีเพิ่มฐานนักลงทุนสถาบันต่างชาติ-วอลุ่มซื้อขายเพิ่มขึ้น “เกศรา” เชื่อหากไม่มีสถานการณ์เลวร้าย วอลุ่มเทรดนี้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท
นางเกศรา มัญชุศรี ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ของตลาดหุ้นเอเซีย ทำให้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ต่างประเทศ สนใจที่จะที่จะทำดัชนี SET 50 ของไทย ไปอ้างอิงออกกองทุนอีทีเอฟ ซึ่งขณะนี้มีกองทุนที่ฮ่องกงติดต่อมาว่าต้องการที่จะนำไปอ้างอิงกองทุนอีทีเอฟ ซึ่งคาดว่าจะออกขายได้ประมาณเดือนกันยายนนี้ ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนอีทีเอฟต่างประเทศกองที่ 3 ในปีนี้ ที่กองทุนต่างประเทศนำไปออกกองทุนจากก่อนหน้าที่จดทะเบียนในฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม 2554 และ ที่ญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม 2554
ทั้งนี้ จากการที่กองทุนต่างประเทศนำดัชนีตลาดหุ้นไทยอ้างอิงออกกองทุนนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกทีหนึ่ง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งเป้าที่จะให้มีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จากการไปโรดโชว์ ซึ่งการไปโรดโชว์นั้นเราไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าเงินเข้ามาลงทุนหรือไม่ แต่หากเป็นกองทุนอีทีเอฟนั้นสามารถทราบได้ว่านักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนเพิ่มจากขนาดกกองทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตามส่วนตัวเชื่อว่าหากหากปัจจัยแวดล้อมทั้งเศรษฐกิจและการเมืองไม่มี เหตุการณ์พลิกผันจนกระทบทางลบต่อดัชนีอย่างรุนแรง จึงเชื่อว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นจากนี้ไปจะไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยปัจจุบันถือว่าตลาดหุ้นไทยนั้นมีเครื่องมือเพื่อให้นักลงทุนบริหารการลงทุนได้ครบวงจร ซึ่งในบางช่วงตลาดหุ้นไม่ดี นักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนในกองทุนได้ และสามารถป้องกันความเสี่ยงการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ฯลฯ
“จากการที่กองทุนต่างประเทศนำดัชนีตลาดหุ้นไทยไปอ้างอิงออกกองทุนอีทีเอฟแล้วนำไปจดทะเบียนในต่างประเทศนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะได้ค่าธรรมเนียมจากการนำดัชนีSET 50 ไปใช้อ้างอิงในการออกสินค้า แต่ประโยชน์หลักน่าจะเป็นการช่วยเผยแพร่ดัชนีมากกว่าทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจตลาดหุ้นไทย ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายในตลาดหุ้นให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุนสถาบัน”นางเกศรา กล่าว
นางเกศรา กล่าวว่า สำหรับกองทุนอีทีเอฟที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ ตั้งเป้าไว้ 5 กองทุน ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟอ้างอิงทองคำ จำนวน 2 กองทุน กองแรก คือ กองทุนเปิดเคแทม โกลด์อีทีเอฟ แทร็กเกอร์(GLD) ซึ่งจะเทรดวันที่ 8 สิงหาคม ส่วนอีกกองทุนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ กองทุนอีทีเอฟหุ้นปันผลสูง ซึ่งจะเทรดวันที่ 16 สิงหาคมนี้ และมีกองทุนอีทีเอฟอ้างอิงหุ้นต่างประเทศ คาดว่ากองแรกจะเป็นดัชนีของเกาหลี กองต่อไปอ้างอิงดัชนีหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะร่วมลงทุนกองทุนละ 20 ล้านบาท
สำหรับปัจจุบันมีกองทุนอีทีเอฟจดทะเบียนอยู่จำนวน 3 กอง คือ กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) กองทุนเปิด MTRACK ENERGY ETF (ENGY) กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอส อี เคแทม ซีเอสไป 300 ไซน่า แทร็กเกอร์ ส่วนกองทุนเปิด FTSE SET Large Cap ETF นั้นได้ถอนออกไปแล้ว
นางเกศรา มัญชุศรี ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ของตลาดหุ้นเอเซีย ทำให้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ต่างประเทศ สนใจที่จะที่จะทำดัชนี SET 50 ของไทย ไปอ้างอิงออกกองทุนอีทีเอฟ ซึ่งขณะนี้มีกองทุนที่ฮ่องกงติดต่อมาว่าต้องการที่จะนำไปอ้างอิงกองทุนอีทีเอฟ ซึ่งคาดว่าจะออกขายได้ประมาณเดือนกันยายนนี้ ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนอีทีเอฟต่างประเทศกองที่ 3 ในปีนี้ ที่กองทุนต่างประเทศนำไปออกกองทุนจากก่อนหน้าที่จดทะเบียนในฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม 2554 และ ที่ญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม 2554
ทั้งนี้ จากการที่กองทุนต่างประเทศนำดัชนีตลาดหุ้นไทยอ้างอิงออกกองทุนนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกทีหนึ่ง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งเป้าที่จะให้มีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จากการไปโรดโชว์ ซึ่งการไปโรดโชว์นั้นเราไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าเงินเข้ามาลงทุนหรือไม่ แต่หากเป็นกองทุนอีทีเอฟนั้นสามารถทราบได้ว่านักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนเพิ่มจากขนาดกกองทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตามส่วนตัวเชื่อว่าหากหากปัจจัยแวดล้อมทั้งเศรษฐกิจและการเมืองไม่มี เหตุการณ์พลิกผันจนกระทบทางลบต่อดัชนีอย่างรุนแรง จึงเชื่อว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นจากนี้ไปจะไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยปัจจุบันถือว่าตลาดหุ้นไทยนั้นมีเครื่องมือเพื่อให้นักลงทุนบริหารการลงทุนได้ครบวงจร ซึ่งในบางช่วงตลาดหุ้นไม่ดี นักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนในกองทุนได้ และสามารถป้องกันความเสี่ยงการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ฯลฯ
“จากการที่กองทุนต่างประเทศนำดัชนีตลาดหุ้นไทยไปอ้างอิงออกกองทุนอีทีเอฟแล้วนำไปจดทะเบียนในต่างประเทศนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะได้ค่าธรรมเนียมจากการนำดัชนีSET 50 ไปใช้อ้างอิงในการออกสินค้า แต่ประโยชน์หลักน่าจะเป็นการช่วยเผยแพร่ดัชนีมากกว่าทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจตลาดหุ้นไทย ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายในตลาดหุ้นให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของนักลงทุนสถาบัน”นางเกศรา กล่าว
นางเกศรา กล่าวว่า สำหรับกองทุนอีทีเอฟที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ ตั้งเป้าไว้ 5 กองทุน ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟอ้างอิงทองคำ จำนวน 2 กองทุน กองแรก คือ กองทุนเปิดเคแทม โกลด์อีทีเอฟ แทร็กเกอร์(GLD) ซึ่งจะเทรดวันที่ 8 สิงหาคม ส่วนอีกกองทุนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ กองทุนอีทีเอฟหุ้นปันผลสูง ซึ่งจะเทรดวันที่ 16 สิงหาคมนี้ และมีกองทุนอีทีเอฟอ้างอิงหุ้นต่างประเทศ คาดว่ากองแรกจะเป็นดัชนีของเกาหลี กองต่อไปอ้างอิงดัชนีหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะร่วมลงทุนกองทุนละ 20 ล้านบาท
สำหรับปัจจุบันมีกองทุนอีทีเอฟจดทะเบียนอยู่จำนวน 3 กอง คือ กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) กองทุนเปิด MTRACK ENERGY ETF (ENGY) กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอส อี เคแทม ซีเอสไป 300 ไซน่า แทร็กเกอร์ ส่วนกองทุนเปิด FTSE SET Large Cap ETF นั้นได้ถอนออกไปแล้ว