ตลาดหลักทรัพย์ เผย 6 เดือนแรก บจ.ระดมทุนรวม 7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันก่อน พร้อมเดินหน้าสร้างสภาพคล่องการซื้อขายสูงขึ้นจากออกสินค้าใหม่-ขยายฐานนักลงทุน ฯลฯ แม้ปัจจุบันจะสูงสุดในภูมิภาค “วิรไทย” แจง แผนแปรรูป ตลท.ยังคงเดินหน้า คาด ส่งให้สภาพิจารณาได้ ต.ค.-พ.ย.นี้
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีการะดมทุนในช่วง 6 เดือนแรก มูลค่ารวม 70,906 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 43.27% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่า 49,492 ล้านบาท แบ่งเป็นการระดมทุนผ่านตลาดแรก คือ มีบริษัทใหม่ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์เข้ามาจดทะเบียนมูลค่า 12,503 ล้านบาท การระดมทุนผ่านตลาดรองคือบจ.เดิมมีการเพิ่มทุน มูลค่า 58,403 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากพัฒนาการของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในช่วง 6 เดือนแรกนั้น พบว่า สภาพคล่องตลาดหุ้นไทย หากวัดโดยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Share turnover velocity) สูงที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับสูงขึ้นและใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค ซึ่ง 6 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 30,807.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.69%
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับกว่า 30,000 ล้านบาท ที่ถือว่าสูงแล้วนั้น ก็ยังมีโอกาสที่มูลค่าการซื้อขายจะสามารถปรับตัวเพิ่มมากขึ้นได้อีกจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯมีแผนที่จะมีการขยายฐานนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพิ่มช่องทางการลงทุนโดยการลงทุนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตของธนาคารพาณิชย์ การขยายฐานนักลงทุนสถาบันโดยการทำงานร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ทำให้ บลจ.มีการกันมาออกกองทุนหุ้นมากขึ้น
รวมถึงการออกสินค้าสินค้าใหม่ๆ ซึ่งในเดือนสิงหาคมนี้จะมีกองทุนอีทีเอฟทองคำ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สัญญาซื้อล่วงหน้าอ้างอิงน้ำมัน และตลาดหลักทรัพย์มีการจัดสัมมนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ฐานนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์มีการโรดโชว์ในต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างประเทศมากขึ้นทั้งในประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์ฯไปต่อเนื่องและประเทศใหม่ๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่เคยไป
ขณะเดียวกัน ช่วงครึ่งปีแรก นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวในภูมิภาคมูลค่า 884 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในประเทศ คือความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงเดือนที่ผ่านมา และปัจจัยความกังวลในการชำระหนี้ของกรีซ ส่งผลให้สิ้นเดือนมิถุนายนดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 3.01% อยู่ที่ 1,041.48 จุด ซึ่งลดลง 3.01% จากเดือนพฤษภาคม แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.84%
ทั้งนี้ อัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ไทยยังคงสูงสุดในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2553 โดยอยู่ที่ระดับ 3.70% ขณะที่ตลาดหุ้นเอ็มเอไออยู่ที่ 2.80% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ 8.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.14% จากสิ้นปี 2553
ส่วนความคืบหน้าในการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกฤษฎีกา ซึ่งอยู่ในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณา 30 วันจากนี้ เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และส่งเรื่องให้ทางสภาผู้แทนราษฎรต่อ คาดว่า จะเป็นในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ทำให้กฎหมายในเรื่องการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์น่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในปี 2556 และทำให้ตลาดหลักทรัพย์สามารถแปรรูปได้
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีการะดมทุนในช่วง 6 เดือนแรก มูลค่ารวม 70,906 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 43.27% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่า 49,492 ล้านบาท แบ่งเป็นการระดมทุนผ่านตลาดแรก คือ มีบริษัทใหม่ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์เข้ามาจดทะเบียนมูลค่า 12,503 ล้านบาท การระดมทุนผ่านตลาดรองคือบจ.เดิมมีการเพิ่มทุน มูลค่า 58,403 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากพัฒนาการของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในช่วง 6 เดือนแรกนั้น พบว่า สภาพคล่องตลาดหุ้นไทย หากวัดโดยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Share turnover velocity) สูงที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับสูงขึ้นและใกล้เคียงกับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค ซึ่ง 6 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 30,807.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.69%
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับกว่า 30,000 ล้านบาท ที่ถือว่าสูงแล้วนั้น ก็ยังมีโอกาสที่มูลค่าการซื้อขายจะสามารถปรับตัวเพิ่มมากขึ้นได้อีกจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯมีแผนที่จะมีการขยายฐานนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพิ่มช่องทางการลงทุนโดยการลงทุนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตของธนาคารพาณิชย์ การขยายฐานนักลงทุนสถาบันโดยการทำงานร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ทำให้ บลจ.มีการกันมาออกกองทุนหุ้นมากขึ้น
รวมถึงการออกสินค้าสินค้าใหม่ๆ ซึ่งในเดือนสิงหาคมนี้จะมีกองทุนอีทีเอฟทองคำ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สัญญาซื้อล่วงหน้าอ้างอิงน้ำมัน และตลาดหลักทรัพย์มีการจัดสัมมนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ฐานนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์มีการโรดโชว์ในต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างประเทศมากขึ้นทั้งในประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์ฯไปต่อเนื่องและประเทศใหม่ๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่เคยไป
ขณะเดียวกัน ช่วงครึ่งปีแรก นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวในภูมิภาคมูลค่า 884 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในประเทศ คือความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงเดือนที่ผ่านมา และปัจจัยความกังวลในการชำระหนี้ของกรีซ ส่งผลให้สิ้นเดือนมิถุนายนดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 3.01% อยู่ที่ 1,041.48 จุด ซึ่งลดลง 3.01% จากเดือนพฤษภาคม แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.84%
ทั้งนี้ อัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ไทยยังคงสูงสุดในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2553 โดยอยู่ที่ระดับ 3.70% ขณะที่ตลาดหุ้นเอ็มเอไออยู่ที่ 2.80% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ 8.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.14% จากสิ้นปี 2553
ส่วนความคืบหน้าในการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกฤษฎีกา ซึ่งอยู่ในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณา 30 วันจากนี้ เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และส่งเรื่องให้ทางสภาผู้แทนราษฎรต่อ คาดว่า จะเป็นในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ทำให้กฎหมายในเรื่องการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์น่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในปี 2556 และทำให้ตลาดหลักทรัพย์สามารถแปรรูปได้