ตลาดรับสร้างบ้านกทม. ยอดอืด กลุ่มบ้าน3-7ล้านแข่งดุ “ซีคอนโฮม” เร่งขยายฐานเจาะตลาดล่างต่ำกว่า1ล้านบาท แตกบริษัทลูก “บัดเจท โฮม” รุกตลาดรับสร้างบ้านระดับล่างราคาเริ่มต้น 9.9แสนบาท ชูระบบก่อสร้างสำเร็จรูป ชื่อเสียง บริการหลังการขาย แข่งรับเหมาก่อสร้าง ย้ำเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่า หวังแชร์ส่วนแบ่งรับเหมารายย่อย พร้อมวางเป้ายอดขาย7เดือน130ล้านบาท ดันรายได้รวมทั้งปีของกลุ่มซีคอนแตะ 1,500ล้านบาท
นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกของปีตลาดรับสร้างบ้านในกทม.และปริมณฑลหดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเล็กน้อย โดย4เดือนแรกที่ผ่านมา ซีคอนโฮมมียอดจองซื้อบ้าน360 ล้านบาท และมียอดเว็นสัญญา 300 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี2553 ประมาณ5-6% แต่เมื่อเทียบยอดจองซื้อเฉพาะในเดือนเมษายนของปีนี้กับปีที่แล้วหดตัวลง10% อย่างไรก็ตามสถาการณ์ของตลาดวัสดุก่อสร้างที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงในช่วงปลายปี2553ทำให้บริษัทต้องมีการปรับราคาขายบ้าน5% ในเดือนม.ค. 2554
“จากจองจองและยอดขายของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าในปีนี้ตลาดรับสร้างบ้านยังทรงตัวจากปีก่อนหน้า ขณะที่การแข่งขันยังคงรุนแรงเพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ กลุ่มซีคอนโฮม ไดสำรวจข้อมูลและวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของตลาดที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบ้านที่สร้างโดยบริษัทรับสร้างบ้านที่น่าเชื่อถือ กับบ้านที่สร้างโดยกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย แต่เนื่องจากในตลาดระดับล่างราคาต่ำกว่า1ล้านบาทยังไม่มีบริษัทรับสร้างบ้านรายใดเข้าไปทำตลาดทำให้ลูกค้ากลุ่มดังหกล่าวไม่มีทางเลือกจึงยังใช้บริการสร้างบ้านกับบริษัทรับเหมาเป็นหลัก
ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้ารับสร้างบ้านในระดับราคา1 ล้านบาท เป็นตลาดที่ใหญ่มาก เห็นได้ชัดจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ พบว่า ในปี 2553 บ้านเดี่ยวสร้างเอง เฉพาะในกทม.และปริมณฑล มีจำนวนหน่วยถึง 20,430 หน่วย คิดเป็นมูลค่าจากการโอนกรรมสิทธิ์กว่าแสนล้านบาท เฉพาะในตลาดบริษัทรับสร้างบ้านมีมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นผู้รับเหมารายย่อยแชร์ตลาดอยู่ 90% ซึ่ง บัดเจทโฮม ต้องการเข้าแชร์ส่วนแบ่งให้มากขึ้น
“ในอดีตแทบจะปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดขายของผู้รับเหมารายย่อยที่เหนือกว่าคือ ราคาที่ต่ำกว่าทำให้ลูกค้าหลายรายที่คำนึงถึงเรื่องงบประมาณที่มีจำกัด ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า โดยซีคอน ไม่ได้มองว่านี่คืออุปสรรค แต่กลับมองว่าเป็นความท้าทายใหม่ คิดมากขึ้น เพื่อให้ได้บ้านที่มีคุณภาพในระดับราคาที่สามารถแข่งขันกับผู้รับเหมารายย่อย จึงได้ “บัดเจท โฮม” เข้ามาเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าในปัจจุบัน”
สำหรับ บัดเจท โฮม เป็นบริษัทน้องใหม่ในกลุ่มซีคอน มีทุนจดทะเบียน 10ล้านบาท เพื่อเข้ามาจับตลาดรับสร้างบ้านราคาประหยัดเริ่มต้น 990,000 - 1,890,000 บาท มีพื้นที่ใช้สอย 90-238 ตร.ม. บนเนื้อที่ระหว่าง 32-59 ตร.ว. มีให้เลือกทั้งแบบ 1 ชั้นและ 2 ชั้น 14แบบ ”
โดยจุดขายของ บัดเจท โฮม คือ เรื่องของโครงสร้างสำเร็จรูป ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่าโครงสร้างที่ผู้รับเหมารายย่อยทำงานหน้างาน นอกจากนี้ช่อเสียงของบริษัทยังเป็นที่ยอมรับ และมีทีมงานวิศวกรและสถาปนิกประจำ ที่คอยออกแบบบ้านมาตรฐานให้ลูกค้าเลือก และยังมีความสามารถในการก่อสร้างได้รวดเร็วกว่า มีมาตรฐาน ลูกค้าสามารถวางใจเรื่องของคุณภาพงานก่อสร้าง อีกทั้งยังมีการทำสัญญาที่ชัดเจนสามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย
ทั้งนี้ ในปีแรก บัดเจท โฮม ตั้งเป้ายอดจองบ้านในช่วง7 เดือนที่เหลือ 90- 130ล้านบาท หรือยอดจองต่อเดือน 10 หลัง ราคาเฉลี่ยหลังละประมาณ 1.3 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแม้ราคาก่อสร้างต่อตร.ม.ขณะนี้จะสูงกว่ารับเหมารายย่อย แต่หากมองมุมกลับจากราคาวัสดุก่อสร้างโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นมาก และราคาบ้านในตลาดส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นไปมากแล้ว ลูกค้าจะหันมาสนใจที่จะควบคุมงบประมาณของตนเอง จะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ จะทำให้ยอดจองอาจจะเกิน 130 ล้านบาท
นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกของปีตลาดรับสร้างบ้านในกทม.และปริมณฑลหดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเล็กน้อย โดย4เดือนแรกที่ผ่านมา ซีคอนโฮมมียอดจองซื้อบ้าน360 ล้านบาท และมียอดเว็นสัญญา 300 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี2553 ประมาณ5-6% แต่เมื่อเทียบยอดจองซื้อเฉพาะในเดือนเมษายนของปีนี้กับปีที่แล้วหดตัวลง10% อย่างไรก็ตามสถาการณ์ของตลาดวัสดุก่อสร้างที่มีราคาเพิ่มขึ้นสูงในช่วงปลายปี2553ทำให้บริษัทต้องมีการปรับราคาขายบ้าน5% ในเดือนม.ค. 2554
“จากจองจองและยอดขายของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าในปีนี้ตลาดรับสร้างบ้านยังทรงตัวจากปีก่อนหน้า ขณะที่การแข่งขันยังคงรุนแรงเพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ กลุ่มซีคอนโฮม ไดสำรวจข้อมูลและวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของตลาดที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบ้านที่สร้างโดยบริษัทรับสร้างบ้านที่น่าเชื่อถือ กับบ้านที่สร้างโดยกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย แต่เนื่องจากในตลาดระดับล่างราคาต่ำกว่า1ล้านบาทยังไม่มีบริษัทรับสร้างบ้านรายใดเข้าไปทำตลาดทำให้ลูกค้ากลุ่มดังหกล่าวไม่มีทางเลือกจึงยังใช้บริการสร้างบ้านกับบริษัทรับเหมาเป็นหลัก
ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้ารับสร้างบ้านในระดับราคา1 ล้านบาท เป็นตลาดที่ใหญ่มาก เห็นได้ชัดจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ พบว่า ในปี 2553 บ้านเดี่ยวสร้างเอง เฉพาะในกทม.และปริมณฑล มีจำนวนหน่วยถึง 20,430 หน่วย คิดเป็นมูลค่าจากการโอนกรรมสิทธิ์กว่าแสนล้านบาท เฉพาะในตลาดบริษัทรับสร้างบ้านมีมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นผู้รับเหมารายย่อยแชร์ตลาดอยู่ 90% ซึ่ง บัดเจทโฮม ต้องการเข้าแชร์ส่วนแบ่งให้มากขึ้น
“ในอดีตแทบจะปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดขายของผู้รับเหมารายย่อยที่เหนือกว่าคือ ราคาที่ต่ำกว่าทำให้ลูกค้าหลายรายที่คำนึงถึงเรื่องงบประมาณที่มีจำกัด ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า โดยซีคอน ไม่ได้มองว่านี่คืออุปสรรค แต่กลับมองว่าเป็นความท้าทายใหม่ คิดมากขึ้น เพื่อให้ได้บ้านที่มีคุณภาพในระดับราคาที่สามารถแข่งขันกับผู้รับเหมารายย่อย จึงได้ “บัดเจท โฮม” เข้ามาเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าในปัจจุบัน”
สำหรับ บัดเจท โฮม เป็นบริษัทน้องใหม่ในกลุ่มซีคอน มีทุนจดทะเบียน 10ล้านบาท เพื่อเข้ามาจับตลาดรับสร้างบ้านราคาประหยัดเริ่มต้น 990,000 - 1,890,000 บาท มีพื้นที่ใช้สอย 90-238 ตร.ม. บนเนื้อที่ระหว่าง 32-59 ตร.ว. มีให้เลือกทั้งแบบ 1 ชั้นและ 2 ชั้น 14แบบ ”
โดยจุดขายของ บัดเจท โฮม คือ เรื่องของโครงสร้างสำเร็จรูป ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่าโครงสร้างที่ผู้รับเหมารายย่อยทำงานหน้างาน นอกจากนี้ช่อเสียงของบริษัทยังเป็นที่ยอมรับ และมีทีมงานวิศวกรและสถาปนิกประจำ ที่คอยออกแบบบ้านมาตรฐานให้ลูกค้าเลือก และยังมีความสามารถในการก่อสร้างได้รวดเร็วกว่า มีมาตรฐาน ลูกค้าสามารถวางใจเรื่องของคุณภาพงานก่อสร้าง อีกทั้งยังมีการทำสัญญาที่ชัดเจนสามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย
ทั้งนี้ ในปีแรก บัดเจท โฮม ตั้งเป้ายอดจองบ้านในช่วง7 เดือนที่เหลือ 90- 130ล้านบาท หรือยอดจองต่อเดือน 10 หลัง ราคาเฉลี่ยหลังละประมาณ 1.3 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแม้ราคาก่อสร้างต่อตร.ม.ขณะนี้จะสูงกว่ารับเหมารายย่อย แต่หากมองมุมกลับจากราคาวัสดุก่อสร้างโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นมาก และราคาบ้านในตลาดส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นไปมากแล้ว ลูกค้าจะหันมาสนใจที่จะควบคุมงบประมาณของตนเอง จะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ จะทำให้ยอดจองอาจจะเกิน 130 ล้านบาท