แบงก์ชาติ ระบุ มาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลของรัฐ แก้ไขปัญหาได้ในระยะสั้น แนะภาครัฐควรส่งสัญญาณราคาน้ำมันแพงควบคู่ หวังให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตปรับตัว เผยมาตรการนี้ช่วยให้ช่วงเดือน พ.ค.-ก.ย.นี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.7% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 0.3% ชี้ ปีนี้น้ำมันอยู่ในระดับสูงและปีหน้าจะค่อยๆ ลดลง
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลต่อไปไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ก็เพื่อต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้บริโภคและภาคการผลิตสามารถปรับตัวได้ แต่สิ่งสำคัญ ภาครัฐควรมีการส่งสัญญาณควบคู่ไปด้วยว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูง จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องมีปรับตัวให้ได้ ซึ่งตามที่คาดการณ์มองว่าในปีนี้ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงและปีหน้าจะค่อยๆ ปรับลดลงมา ฉะนั้น ราคาน้ำมันเป็นประเด็นที่ธปท.เองก็ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
“การอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลครั้งนี้จะมีผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.7% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลง 0.3% ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเกิดขึ้นจริงที่ควรจะเป็น ในช่วงเดือนพ.ค.ถึงเดือนก.ย.นี้ แต่การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในแต่ละช่วง ขึ้นอยู่กับว่า จะให้ความสำคัญเรื่องใด ซึ่งรัฐมีมาตรการนี้ออกมา เพื่อช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องปรับตัวได้แม้มีหลายฝ่ายต้องการให้ราคาสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น ดังนั้น รัฐควรมีการส่งสัญญาณไปด้วยว่าหากน้ำมันมีราคาสูงก็จะยืนราคาระดับนี้ไม่ได้นาน ทำให้ทุกฝ่ายต้องมีการปรับตัวเองด้วย” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
ทั้งนี้ ในการคาดการณ์เงินเฟ้อครั้งล่าสุด ธปท.ได้ตั้งสมมติฐานว่า ทางการจะยกเลิกการตรึงราคาน้ำมัน และสินค้าต่างๆ ในช่วงกลางปีนี้ โดยในส่วนของน้ำมันดีเซล ธปท.มองว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ ที่ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นไปได้ที่รัฐบาลที่จะหยุดการอุดหนุนเป็นจำนวน 6 บาทต่อลิตรด้วย
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า มีหลายฝ่ายมองว่าการแก้ไขปัญหานี้ด้วยการตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไป เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ต้องการหวังผลทางการเมืองมากกว่าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้น ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ขณะนี้การจัดเก็บรายได้สูงกว่าที่คาด จึงมีเวลาที่จะแก้ไขปัญหาระยะสั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่หากสุดท้ายปล่อยให้ราคาเพิ่มขึ้นในทันที ผู้คนจะได้รับผลกระทบและมีผลทางการเมืองตามมาเช่นกัน
**S&Pลดเครดิตไม่กระทบทุนสำรองฯ**
สำหรับกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดเครดิตแนวโน้มตราสารหนี้ของประเทศสหรัฐฯ จากระดับมีเสถียรภาพสู่เชิงลบ ซึ่งห่วงว่า จะมีผลต่อการถือครองสินทรัพย์ในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศของไทยในรูปสกุลเงินดอลลาร์นั้น ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ขณะนี้ทุนสำรองของไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯลดลงต่ำกว่าครึ่ง และส่วนใหญ่มีการกระจายไปถือครองในสกุลเงินอื่นๆ มากขึ้น ขณะเดียวกันพ.ร.บ.ธปท.ปี 51 ได้เปิดโอกาสให้นำทุนสำรองลงทุนตราสารต่างๆ หลากหลาย ยกเว้นหุ้นเท่านั้น
“ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นข่าวหนึ่งในหลายข่าวในช่วงที่ผ่านมา ที่จะมีผลกระทบต่อตลาดการเงินต่างประเทศ ซึ่งข่าวเหล่านี้ค่อนข้างอ่อนไหวมาก โดยเฉพาะการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นที่ยังไม่เข้มแข็ง จึงหนีไม่พ้นข่าวที่ส่งผลกระทบไปเรื่อยๆ”
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลต่อไปไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ก็เพื่อต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้บริโภคและภาคการผลิตสามารถปรับตัวได้ แต่สิ่งสำคัญ ภาครัฐควรมีการส่งสัญญาณควบคู่ไปด้วยว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูง จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องมีปรับตัวให้ได้ ซึ่งตามที่คาดการณ์มองว่าในปีนี้ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงและปีหน้าจะค่อยๆ ปรับลดลงมา ฉะนั้น ราคาน้ำมันเป็นประเด็นที่ธปท.เองก็ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
“การอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลครั้งนี้จะมีผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.7% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลง 0.3% ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเกิดขึ้นจริงที่ควรจะเป็น ในช่วงเดือนพ.ค.ถึงเดือนก.ย.นี้ แต่การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในแต่ละช่วง ขึ้นอยู่กับว่า จะให้ความสำคัญเรื่องใด ซึ่งรัฐมีมาตรการนี้ออกมา เพื่อช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องปรับตัวได้แม้มีหลายฝ่ายต้องการให้ราคาสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น ดังนั้น รัฐควรมีการส่งสัญญาณไปด้วยว่าหากน้ำมันมีราคาสูงก็จะยืนราคาระดับนี้ไม่ได้นาน ทำให้ทุกฝ่ายต้องมีการปรับตัวเองด้วย” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
ทั้งนี้ ในการคาดการณ์เงินเฟ้อครั้งล่าสุด ธปท.ได้ตั้งสมมติฐานว่า ทางการจะยกเลิกการตรึงราคาน้ำมัน และสินค้าต่างๆ ในช่วงกลางปีนี้ โดยในส่วนของน้ำมันดีเซล ธปท.มองว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ ที่ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นไปได้ที่รัฐบาลที่จะหยุดการอุดหนุนเป็นจำนวน 6 บาทต่อลิตรด้วย
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า มีหลายฝ่ายมองว่าการแก้ไขปัญหานี้ด้วยการตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไป เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ต้องการหวังผลทางการเมืองมากกว่าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้น ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ขณะนี้การจัดเก็บรายได้สูงกว่าที่คาด จึงมีเวลาที่จะแก้ไขปัญหาระยะสั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่หากสุดท้ายปล่อยให้ราคาเพิ่มขึ้นในทันที ผู้คนจะได้รับผลกระทบและมีผลทางการเมืองตามมาเช่นกัน
**S&Pลดเครดิตไม่กระทบทุนสำรองฯ**
สำหรับกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดเครดิตแนวโน้มตราสารหนี้ของประเทศสหรัฐฯ จากระดับมีเสถียรภาพสู่เชิงลบ ซึ่งห่วงว่า จะมีผลต่อการถือครองสินทรัพย์ในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศของไทยในรูปสกุลเงินดอลลาร์นั้น ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ขณะนี้ทุนสำรองของไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯลดลงต่ำกว่าครึ่ง และส่วนใหญ่มีการกระจายไปถือครองในสกุลเงินอื่นๆ มากขึ้น ขณะเดียวกันพ.ร.บ.ธปท.ปี 51 ได้เปิดโอกาสให้นำทุนสำรองลงทุนตราสารต่างๆ หลากหลาย ยกเว้นหุ้นเท่านั้น
“ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นข่าวหนึ่งในหลายข่าวในช่วงที่ผ่านมา ที่จะมีผลกระทบต่อตลาดการเงินต่างประเทศ ซึ่งข่าวเหล่านี้ค่อนข้างอ่อนไหวมาก โดยเฉพาะการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นที่ยังไม่เข้มแข็ง จึงหนีไม่พ้นข่าวที่ส่งผลกระทบไปเรื่อยๆ”