คลังปลื้ม JCR จากญี่ปุ่นเพิ่มเรตติ้งตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท และเงินต่างประเทศของไทย “จากลบเป็นมีเสถียรภาพ” สะท้อนความแข็งแกร่งของพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทย-พอใจแก้ปัญหามาบตาพุด แม้จะได้รับผลกระทบจากการเมืองและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า บริษัท Japan Credit Rating Agency (JCR) ได้ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศและสกุลเงินบาทที่ออกโดยรัฐบาลไทยจากระดับที่เป็นลบ (negative outlook) มาเป็นระดับที่มีเสถียรภาพ (stable outlook) และได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Long-Term Senior Debts) ที่ระดับ A- และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (Local Currency Long-Term Senior Debts) ที่ระดับ A
“การปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ (outlook) ของประเทศไทยให้กลับมาอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพอีกครั้งสะท้อนถึงมุมมองของ JCR ว่า เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งและได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางการเมือง” นายจักรกฤศฏิ์ กล่าว
การที่ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากสัดส่วนของการออกสินค้าและการบริการที่สูงถึง 71% ของ GDP และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนถึง 15.9 ล้านคนในปี 2553 โดยในปี 2551 และ 2552 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการส่งออกสินค้าในภาคอุตสาหกรรมและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเหลือเพียง 2.5% ในปี 2551 และ 2.3% ในปี 2552 ซึ่งต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยที่ 5.6% ระหว่างปี 2548-2550 แต่ในปี 2553 อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ที่แท้จริงได้เพิ่มขึ้นเป็น 7.8% อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของอุปสงค์ภายในประเทศ
ขณะที่ปัญหาของโครงการในเขตอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ได้รับการแก้ไขในเดือนกันยายน 2553 และการที่ภาคธนาคารพาณิชย์ยังคงมีเสถียรภาพถึงแม้ว่าในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2554
อย่างไรก็ตาม สบน.เห็นว่า ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ได้รับในขณะนี้ยังไม่อยู่ในระดับที่สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่เป็นจริง เนื่องจากตัวเลขโดยรวมทางเศรษฐกิจในประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี เช่น อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่ต่ำและรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูง
นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เป็นบวก การส่งออกที่จะยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม หากนโยบายส่งเสริมของรัฐ และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแล้ว ทำให้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของประเทศต่อความผันผวนจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจและเหตุการณ์ความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ผ่านมาได้ และยังเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า เศรษฐกิจไทยจะยังคงเข้มแข็งและเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า บริษัท Japan Credit Rating Agency (JCR) ได้ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศและสกุลเงินบาทที่ออกโดยรัฐบาลไทยจากระดับที่เป็นลบ (negative outlook) มาเป็นระดับที่มีเสถียรภาพ (stable outlook) และได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Long-Term Senior Debts) ที่ระดับ A- และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (Local Currency Long-Term Senior Debts) ที่ระดับ A
“การปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ (outlook) ของประเทศไทยให้กลับมาอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพอีกครั้งสะท้อนถึงมุมมองของ JCR ว่า เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งและได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางการเมือง” นายจักรกฤศฏิ์ กล่าว
การที่ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากสัดส่วนของการออกสินค้าและการบริการที่สูงถึง 71% ของ GDP และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนถึง 15.9 ล้านคนในปี 2553 โดยในปี 2551 และ 2552 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการส่งออกสินค้าในภาคอุตสาหกรรมและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเหลือเพียง 2.5% ในปี 2551 และ 2.3% ในปี 2552 ซึ่งต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยที่ 5.6% ระหว่างปี 2548-2550 แต่ในปี 2553 อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ที่แท้จริงได้เพิ่มขึ้นเป็น 7.8% อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของอุปสงค์ภายในประเทศ
ขณะที่ปัญหาของโครงการในเขตอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ได้รับการแก้ไขในเดือนกันยายน 2553 และการที่ภาคธนาคารพาณิชย์ยังคงมีเสถียรภาพถึงแม้ว่าในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2554
อย่างไรก็ตาม สบน.เห็นว่า ผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ได้รับในขณะนี้ยังไม่อยู่ในระดับที่สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่เป็นจริง เนื่องจากตัวเลขโดยรวมทางเศรษฐกิจในประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี เช่น อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่ต่ำและรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูง
นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เป็นบวก การส่งออกที่จะยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม หากนโยบายส่งเสริมของรัฐ และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแล้ว ทำให้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของประเทศต่อความผันผวนจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจและเหตุการณ์ความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ผ่านมาได้ และยังเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า เศรษฐกิจไทยจะยังคงเข้มแข็งและเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง