รมว.คลัง แจงกระทู้สด ส.ส.เพื่อไทย ตั้งบริษัทต่างชาติทำโครงการประชาวิวัฒน์ ไม่ผิด ระบุเปิดทางเท้าขายสินค้าลดความเหลื่อมล้ำ-เข้าถึงแหล่งทุน
รัฐสภา-การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามสดนายกฯเรื่องนโยบายประชาวิวัฒน์ ว่า นโยบายประชาวิวัฒน์ 9 ข้อ โดยใช้งบของธนาคารโลกเอเอแอล 69 ล้านไปจ้างบริษัทแมคเคนซี่ เป็นที่ปรึกษา ซึ่งตนติดใจในนโยบายข้อที่ 4 คือการเปิดเพิ่มจุดผ่อนผันการค้าบนทางเท้าและที่สาธารณะให้กับผู้ค้าจำนวน 2 หมื่นราย ด้วยการไปกู้เงิน 2,000 ล้านจากธนาคารออมสิน เฉลี่ยอยู่ที่รายละ 30,000 - 100,000 บาท ซึ่งคิดเป็นคน 0.004 % ของคนทั้งหมดในกทม. นอกจากนี้ ยังเป็นการขัดกับ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด 2535 ที่กำหนดข้อห้ามไม่ให้เอาของไปตั้งที่สาธารณะสำหรับประชาชน การตั้งแผงขายสินค้าบนทางเท้า ทำให้ประชาชนที่ต้องใช้เส้นทาง ถูกลิดรอนสิทธิ์ รวมไปถึงความปลอดภัย และความสะอาดด้วย และโครงการนี้คนได้ประโยชน์แค่ 40,000-45,000 คน แต่เสียทางเท้าไปถึง 80 กิโลเมตร
นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ตรงนี้ยังขัดกฎหมายหลายฉบับทั้งกฎหมายของกทม. เรื่องการขายของริมทางเท้า และกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข จึงอยากถามว่าสิ่งที่รัฐบาลทำมีกรอบความคิดอย่างไรที่เอาทางเท้ามาขายของ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ตนเห็นด้วยจะช่วยผู้ค้าแต่นี้มันเหมือนเอาเงินไปละลายแม่น้ำ ทำไมจึงไม่จัดทำเป็นพื้นที่ถาวร เพื่อใช้ในการค้าขาย สิ่งที่รัฐบาลทำเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ แต่หากคิดว่าเวลานี้ทำไม่ได้ก็ว่ามา เพราะคนที่เดือนร้อนคือคนกทม. และเหตุใดจะมีการจัดพื้นที่ 50 กิโลเมตร เพื่อผู้ค้าบนทำสกายวอล์กจะทำให้มีปัญหาในเรื่องของสิ่งแวดล้อมหรือไม่
ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า สำหรับเหตุผลที่ว่าจ้างบริษัทแมคเคนซี่ เพื่อบริหารโครงการประชาวิวัฒน์ เพราะรัฐได้ออกไปสำรวจถึงความเดือดร้อนของประชาชนและได้แบ่งประชาชนที่เดือดร้อนออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อที่รัฐจะเข้าไปช่วยคุ้มครองสิทธิความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับประชาชน จึงได้ตั้งปัญหาเพื่อตอบโจทย์ให้กับประชาชน ส่วนหน่วยราชการที่รับผิดชอบซึ่งได้รับคำสั่งทางราชการ และได้จัดหาที่ปรึกษาที่หมาะสมจึงได้จ้างบริษัทดังกล่าว จึงไม่มีประเด็นอะไรที่ผิดกฎหมาย ส่วนการจัดพื้นที่ผ่อนผันให้ผู้ค้า ตนไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไรจะกวาดล้างหรือไม่ ถ้าจะกวาดล้างก็อยากให้พูดให้ชัดๆ แต่สิ่งที่รัฐบาลคิดเพื่อให้เกิดความสมดุลในการช่วยเหลือผู้ที่มาค้าขายในกทม. และการจัดหาพื้นที่แต่ละจุดกทม.เป็นผู้ให้ข้อมูล และต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการในกทม.ว่าจะผ่านหรือไม่ภายหลังการไปสำรวจ รวมพื้นที่กว่า 1,000 จุด ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสค้าขายได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่เคยชินกับการค้าขายโดยที่ไม่รู้ว่าพื้นที่นั้นไมได้เป็นพื้นที่ผ่อนผัน เช่น สะพานพุทธ ถนนข้าวสาร ปากคลองตลาด ดังนั้นทางกรุงเทพมหานครได้สำรวจพื้นที่นับพันจุดได้และเสนอให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลอนุมัติ 275 จุด เพิ่มเติมให้พ่อค้าแม่ค้าหลายชีวิตมีที่ทำกินถูกกฎหมาย ส่วนการใช้เงินงบประมาณจัดระเบียบเรื่องนี้ไม่ได้ใช้เงินเลย จะมีใช้เฉพาะในส่วนเรื่องที่บริเวณค้าขายที่ต้องทำให้สวยงามเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 40 กว่าจุดทั่ว กทม.หรือที่เรียกว่า จุดเสน่ห์ของเมือง ให้มีระเบียบสะอาดและถูกสุขอนามัย การให้โอกาสพ่อค้าแม่ค้าอย่างถูกกฎหมายแล้วสิทธิที่เขาจะได้ คือ การเข้าถึงแหล่งเงินในธนาคารสังกัดรัฐบาล
“รัฐบาลมองเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำหลังจากไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินมาก่อน หรือ ถ้าเข้าถึงก็เป็นพวกนายทุนที่ให้เงินกู้ดอกเบี้ยราคาแพง อยากให้ไปลองเดินตามตลาดและถามพ่อค้าแม่ค้าว่าอยากได้หรือไม่ว่าต้องการสิทธิ และโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน ซี่งผมเห็นว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน” รมว.คลัง กล่าว