ตระกูล "ลีสวัสดิ์ตระกูล" ตัดใจขายหุ้น "จี สตีล" ให้แก่กลุ่มทุนใหญ่ค้าเหล็กอันดับหนึ่งของโลก ซึ่ง "อาร์ซลอร์ฯ" เข้ามาถือหุ้นใหญ่ 40% โดยต้องใส่เงินเพิ่มทุน 7,509.60 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น "จี สตีล" จำนวน 11.92 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละไม่ต่ำกว่า 0.63 บาท ราคาพาร์ 1 บาท
วันนี้ (5 มี.ค.) มีรายงานข่าวว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมตระกูล "ลีสวัสดิ์ตระกูล" ตัดใจขายหุ้น บมจ.จี สตีล (GSTEEL)ให้กับกลุ่มทุนใหญ่ธุรกิจเหล็กอันดับหนึ่งของโลก "Arcelor Mittal Netherlands B.V." หรืออาร์ซลอร์ฯ ซึ่งเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 40% หลังจากที่บริษัทประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจนขาดทุนอย่างหนักมาหลายปี นับตั้งแต่ปี 2551 โดยเป็นช่วงราคาเหล็กถีบตัวสูงและไหลรูดในเวลาอันสั้น บริษัทขาดทุนสต๊อกเหล็กจำนวนมาก เมื่อเจ้าหนี้ไม่สนับสนุนสินเชื่อหมุนเวียน บริษัทจึงจำเป็นต้องลดการผลิตฉุดรายได้หดและธุรกิจหยุดชะงัก ไม่มีเงินจ่ายหนี้ แม้ปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้แปลงหนี้เป็นทุน ก็ยังเอาไม่อยู่
ทั้งนี้ การซื้อจี สตีลครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ "อาร์ซลอร์ฯ" ใส่เงินเพิ่มทุน มูลค่ารวม 7,509.60 ล้านบาทซื้อหุ้นเพิ่มทุนของจี สตีล จำนวน 11.92 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นไม่ต่ำกว่า 0.63 บาท/หุ้น ราคาพาร์ 1 บาท และจะมีการแปลงหนี้เป็นทุนให้แล้วเสร็จ ทั้งหนี้ของจี สตีลเอง และบริษัทลูก คือจีเจ สตีล (GJS) คิดเป็นมูลค่า 5,100 ล้านบาท และหนี้ที่เป็นหุ้นกู้อีก 170 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีการแฮร์คัตหนี้ลงเหลือ 68 ล้านดอลลาร์ พร้อมยืดชำระหนี้ไปถึงปี 2558 นอกจากนี้ จะมีการเพิ่มทุนอีกครั้ง มูลค่า 3,600 ล้านบาท ขายหุ้นละ 0.69 บาท ซึ่งกระบวนเพิ่มทุน และปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีหนี้สินต่อทุนลดลงเหลือ0.2 เท่า ส่วนปัญหา จะต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ "อาร์ซลอร์ฯ"เตรียมขอผ่อนผันกับ ก.ล.ต.
อย่างไรก็ตาม การได้ทุนใหญ่เข้ามาช่วยแก้ฐานะการเงินของจี สตีลแล้ว ยังช่วยเสริมศักยภาพให้กลับมาผงาดในวงการเหล็กอีกครั้ง ทั้งด้านการผลิต การซื้อวัตถุดิบ การขาย ฯลฯ เพราะอาร์ซลอร์ฯเป็นผู้ผลิตเหล็กตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมีกำลังการผลิต 90 ล้านตันต่อปี ดำเนินธุรกิจครอบคลุม 60 ประเทศ 4 ทวีปและเป็นผู้นำทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ก่อสร้าง
ด้าน นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง กล่าวว่าจี สตีลจำเป็นต้องดิ้นรนหาพันธมิตรเข้ามาพยุงธุรกิจ เพื่อแก้ปัญหาทางการเงินและยังเป็นการรับมือสภาพธุรกิจเหล็กที่กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบหลังจีนมีนโยบายทยอยปิดเหมืองเหล็กอย่าง บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ที่พยายามเข้าไปซื้อธุรกิจเหล็กในอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว เพราะมีเหมืองเหล็ก แม้จะมีหนี้เพิ่มขึ้นก็ตาม
ขณะที่ ทาง "อาร์ซลอร์ฯ"ก็มองหาธุรกิจเหล็กในไทย เพื่อใช้เป็นฐานในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากไทยมีความแข็งแกร่งอุตสาหกรรมรถ เรียกได้ว่า เป็น "ฮับ" ของภูมิภาคนี้ การซื้อ จี สตีล จึงน่าจะตอบโจทย์มิตตัลได้
อนึ่ง การได้ทุนใหม่รายใหญ่เข้ามา ไม่ได้หมายความว่า จี สตีลจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ในเร็ววัน เพราะอาร์ซลอร์ฯคงต้องมีการจัดทัพกันใหม่ คิดว่าอย่างน้อย ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6-12 เดือน ขณะที่ราคาหุ้นหลังเพิ่มทุน จะถูกไดลูตลงไป 0.75 บาท