บอร์ดแบงก์ชาติ อนุมัติวงเงิน 200 ล้านหยวน นำสินทรัพย์ของแบงก์ชาติไปลงทุนในตราสารหนี้จีน พร้อมเปิดสำนักตัวแทนที่ปักกิ่งในเดือน ส.ค.นี้ หวังเพิ่มช่องการค้าและการลงทุนกับทางการจีนเพิ่มขึ้น “หม่อมเต่า” เผย อยากเห็นผู้ว่าฯ เปิดช่องทางนำทุนสำรองลงทุนผลตอบแทนที่สูงขึ้น แนะเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองให้มากกว่า 3%
ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ดแบงก์ชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้บอร์ดแบงก์ชาติได้อนุมัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถนำสินทรัพย์ของ ธปท.ที่ไม่ใช่ส่วนของเงินสำรองทางการระหว่างประเทศไปลงทุนตราสารหนี้ของทางการจีนได้ในวงเงิน 200 ล้านหยวน ซึ่งตราสารหนี้ดังกล่าวจะต้องที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทางการจีนเท่านั้น
ปัจจุบันทางการจีนต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคนี้ ซึ่งขณะนี้ไทยเริ่มต้นติดต่อผ่านช่องทางการค้าและระบบคมนาคมกับทางการจีนไปบ้างแล้ว ถือว่า ไทยก็เป็นประเทศที่มีการติดต่อกับจีนค่อนข้างมาก จึงมองว่าอีกไม่นานสกุลเงินหยวนจะมีบทบาทมากขึ้นที่จะเป็นสกุลเงินที่ได้รับการยอมรับในทั่วโลก ดังนั้น ในเดือน ส.ค.นี้ ธปท.จะจัดตั้งสำนักงานตัวแทน ณ สาขาปักกิ่ง ประเทศจีน เพื่อเป็นฝ่ายที่ช่วยประสานงานให้แก่ไทยและจีนในการติดต่อได้ง่ายขึ้น
**แนะเพิ่มสัดส่วนทองคำมากกว่า 3%
บอร์ดแบงก์ชาติยังได้ให้นโยบาย ธปท.ควรเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศให้มากกว่า 3% จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 2% เพราะช่วงที่ผ่านมองว่าการสะสมทองคำมากเกินไปอาจมีข้อเสียที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือดอกผลมากนัก แต่หากสะสมทรัพย์สินอื่นจะสามารถนำไปลงทุนให้เกิดดอกผลมากยิ่งกว่า
“ธปท.เริ่มมีแนวคิดจะทยอยนำทองคำที่ฝากไว้ในต่างประเทศกลับมาไว้ในไทยและช่วง 1-2 ปีนี้ ก็เริ่มนำกลับมาอย่างน้อยให้ได้เกือบครึ่งหนึ่งก่อน ซึ่งปัจจุบันทองคำที่ฝากไว้ในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของทองคำทั้งหมดในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ”
อนึ่ง รายงานเงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า ไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศทั้งสิ้น 174,478.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีฐานะสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าอีก 18,455 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในส่วนของทุนสำรอง ประกอบด้วย ทองคำ 4,387.14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สิทธิพิเศษถอนเงิน 1,510.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนเงินระหว่างประเทศ 436.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และสินทรัพย์ต่างประเทศ 168,143.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะนี้ ธปท.นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปใช้ลงทุนค่อนข้างจำกัด โดยในกฎหมายกำหนดให้นำทุนสำรองไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ ซึ่งอาจจะได้ผลตอบแทนกลับมาน้อย เพราะพันธบัตรประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ขณะที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งที่ผ่านมามีผลตอบแทนขึ้นไปถึง 20-25% จึงอยากให้ผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบันทบทวนกฎเกณฑ์เรื่องนี้เพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน แม้ ธปท.จะผ่อนคลายกฎระเบียบให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น แต่เป็นเรื่องยากที่ให้นักลงทุนเอกชนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งติดเรื่องศักยภาพ ทำได้มีแค่บริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไทยก็ไม่ต้องการลงทุนในรูปเงินตราต่างประเทศมากนัก จึงมองว่า ภาครัฐเองก็ควรหันไปลงทุนในต่างประเทศดีกว่า เพราะหากไม่ดำเนินการเช่นนี้เมื่อไทยขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต้นทุนแพงขึ้นได้และอาจมีผลให้ต่างชาติดึงเงินทุนกลับคืนไป หรือหากให้คนไทยกู้ต่อไปก็จะมีต้นทุนสูงขึ้นอีก
ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ดแบงก์ชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้บอร์ดแบงก์ชาติได้อนุมัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถนำสินทรัพย์ของ ธปท.ที่ไม่ใช่ส่วนของเงินสำรองทางการระหว่างประเทศไปลงทุนตราสารหนี้ของทางการจีนได้ในวงเงิน 200 ล้านหยวน ซึ่งตราสารหนี้ดังกล่าวจะต้องที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทางการจีนเท่านั้น
ปัจจุบันทางการจีนต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคนี้ ซึ่งขณะนี้ไทยเริ่มต้นติดต่อผ่านช่องทางการค้าและระบบคมนาคมกับทางการจีนไปบ้างแล้ว ถือว่า ไทยก็เป็นประเทศที่มีการติดต่อกับจีนค่อนข้างมาก จึงมองว่าอีกไม่นานสกุลเงินหยวนจะมีบทบาทมากขึ้นที่จะเป็นสกุลเงินที่ได้รับการยอมรับในทั่วโลก ดังนั้น ในเดือน ส.ค.นี้ ธปท.จะจัดตั้งสำนักงานตัวแทน ณ สาขาปักกิ่ง ประเทศจีน เพื่อเป็นฝ่ายที่ช่วยประสานงานให้แก่ไทยและจีนในการติดต่อได้ง่ายขึ้น
**แนะเพิ่มสัดส่วนทองคำมากกว่า 3%
บอร์ดแบงก์ชาติยังได้ให้นโยบาย ธปท.ควรเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศให้มากกว่า 3% จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 2% เพราะช่วงที่ผ่านมองว่าการสะสมทองคำมากเกินไปอาจมีข้อเสียที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือดอกผลมากนัก แต่หากสะสมทรัพย์สินอื่นจะสามารถนำไปลงทุนให้เกิดดอกผลมากยิ่งกว่า
“ธปท.เริ่มมีแนวคิดจะทยอยนำทองคำที่ฝากไว้ในต่างประเทศกลับมาไว้ในไทยและช่วง 1-2 ปีนี้ ก็เริ่มนำกลับมาอย่างน้อยให้ได้เกือบครึ่งหนึ่งก่อน ซึ่งปัจจุบันทองคำที่ฝากไว้ในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของทองคำทั้งหมดในทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ”
อนึ่ง รายงานเงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า ไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศทั้งสิ้น 174,478.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีฐานะสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าอีก 18,455 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในส่วนของทุนสำรอง ประกอบด้วย ทองคำ 4,387.14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สิทธิพิเศษถอนเงิน 1,510.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนเงินระหว่างประเทศ 436.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และสินทรัพย์ต่างประเทศ 168,143.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะนี้ ธปท.นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปใช้ลงทุนค่อนข้างจำกัด โดยในกฎหมายกำหนดให้นำทุนสำรองไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ ซึ่งอาจจะได้ผลตอบแทนกลับมาน้อย เพราะพันธบัตรประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ขณะที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งที่ผ่านมามีผลตอบแทนขึ้นไปถึง 20-25% จึงอยากให้ผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบันทบทวนกฎเกณฑ์เรื่องนี้เพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน แม้ ธปท.จะผ่อนคลายกฎระเบียบให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น แต่เป็นเรื่องยากที่ให้นักลงทุนเอกชนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งติดเรื่องศักยภาพ ทำได้มีแค่บริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไทยก็ไม่ต้องการลงทุนในรูปเงินตราต่างประเทศมากนัก จึงมองว่า ภาครัฐเองก็ควรหันไปลงทุนในต่างประเทศดีกว่า เพราะหากไม่ดำเนินการเช่นนี้เมื่อไทยขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต้นทุนแพงขึ้นได้และอาจมีผลให้ต่างชาติดึงเงินทุนกลับคืนไป หรือหากให้คนไทยกู้ต่อไปก็จะมีต้นทุนสูงขึ้นอีก