“เอ็ม เอฟ อี ซี” เปิดตัวดีลใหญ่เพิ่มทุนแลกหุ้น ดึง 3 บริษัทชั้นนำไอทีเข้าเป็นบริษัทย่อย คาดแล้วเสร็จกลางปีนี้ ดันไซส์โตเพิ่มจาก 1.4 พันล้าน เป็น 2.5 พันล้าน ล่อตาล่อใจนักลงทุนสถาบัน ด้านผู้บริหารมั่นใจดันรายได้ก้าวกระโตแตะ 3.5 พันล้าน ในสิ้นปี เช่นเดียวกับกำไรสุทธิที่จะขยายตัวเพิ่มแตะ 210 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 60 กว่าล้าน แถมรุกเข้าประมูลงานรวม 1.2 พันล้าน คาดชนะ 700-800 ล้านบาท แต่หุ้นไดรูท 37%
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) (MFEC) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2554 เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา มีมติให้บริษัท ควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทผู้ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ระดับแนวหน้าของไทย คือ บริษัท ซอฟต์สแควร์ กรุ๊ป (ผ่านการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ของบริษัทนอร์ธเทอร์นสตาร์ซอฟต์แวร์ จำกัด), บริษัท บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น จำกัด และ บริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (ผ่านการการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด ของบริษัท เมกัส จำกัด) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กร รองรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้ามาในอนาคตอันใกล้ ตามทิศทางการขยายตัวของธุรกิจยุค Regionalization ที่ภูมิภาคนี้ได้มีการขยับตัวแล้ว โดยจะมีการก่อตั้ง ASEAN Economic Community ในปี 2015 นี้
โดย MFEC GROUP มุ่งปรับปรุง และพัฒนาองค์กรให้เป็นสถาบันที่เข้มแข็งมีขนาดและศักยภาพที่จะเป็นผู้นำที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม Software และ IT Services ของประเทศ นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการควบรวมกิจการดังกล่าวจะนำเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในเดือนเมษายนนี้ โดยวางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและการบริหารองค์กรให้กลายเป็น “สถาบัน” เป็นผู้นำในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของไทย ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขาย MFEC Group ในปีแรกให้ขยายตัวประมาณ 20% มาอยู่ที่ระดับ 3,500 ล้านบาทได้สำเร็จ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นมาก พร้อมทั้งมีกำลังพล (man-power) และการเข้าถึงตลาดได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 2.8 พันล้านบาท แต่หลังจากควบรวมกิจการแล้วเสร็จ น่าจะส่งผลให้เห็นถึงการเติบโตที่ชัดเจนได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/54 อีกทั้งน่าจะทำให้กำไรสุทธิของ MFEC โตเพิ่มขึ้น3เท่าจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 60-70 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 210 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ส่วนหนึ่งของการเติบโตในปีนี้ น่าจะมาจากมูลค่างานในมือ (backlog) ซึ่ง ณ สิ้นปี 53 อยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท และคาดว่า จะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 1.8 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนเข้าประมูลงานใหม่ภายในช่วงครึ่งปีแรกรวมมูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านบาท โดยคาดว่า จะได้รับงานราว 700-800 ร้อยล้านบาท
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ หัวหน้าธุรกิจวาณิชธนกิจ บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในดีลนี้ กล่าวว่า ดีลการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะแล้วเสร็จภายในช่วงกลางปีนี้ โดย MFEC จะเริ่มรับรู้รายได้และกำไรของอีก 3 บริษัทเข้ามาในช่วงไตรมาส 3 ขณะที่ มาร์เก็ตแคป หลังจากควบรวมกิจการจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.3-2.4 พันล้านบาท จากเดิมที่ 1.4-1.5 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อควบรวมเสร็จเชื่อว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนของบริษัทในรอบนี้ เพื่อนำไปชำระค่าซื้อหุ้นของกิจการทั้ง3บริษัทนั้นจะมีผลทำให้เกิด dilution effect ต่อหุ้นในสัดส่วนประมาณ 37%
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) (MFEC) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2554 เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา มีมติให้บริษัท ควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทผู้ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ระดับแนวหน้าของไทย คือ บริษัท ซอฟต์สแควร์ กรุ๊ป (ผ่านการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ของบริษัทนอร์ธเทอร์นสตาร์ซอฟต์แวร์ จำกัด), บริษัท บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น จำกัด และ บริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (ผ่านการการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด ของบริษัท เมกัส จำกัด) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กร รองรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้ามาในอนาคตอันใกล้ ตามทิศทางการขยายตัวของธุรกิจยุค Regionalization ที่ภูมิภาคนี้ได้มีการขยับตัวแล้ว โดยจะมีการก่อตั้ง ASEAN Economic Community ในปี 2015 นี้
โดย MFEC GROUP มุ่งปรับปรุง และพัฒนาองค์กรให้เป็นสถาบันที่เข้มแข็งมีขนาดและศักยภาพที่จะเป็นผู้นำที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม Software และ IT Services ของประเทศ นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการควบรวมกิจการดังกล่าวจะนำเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในเดือนเมษายนนี้ โดยวางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและการบริหารองค์กรให้กลายเป็น “สถาบัน” เป็นผู้นำในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของไทย ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขาย MFEC Group ในปีแรกให้ขยายตัวประมาณ 20% มาอยู่ที่ระดับ 3,500 ล้านบาทได้สำเร็จ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นมาก พร้อมทั้งมีกำลังพล (man-power) และการเข้าถึงตลาดได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 2.8 พันล้านบาท แต่หลังจากควบรวมกิจการแล้วเสร็จ น่าจะส่งผลให้เห็นถึงการเติบโตที่ชัดเจนได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/54 อีกทั้งน่าจะทำให้กำไรสุทธิของ MFEC โตเพิ่มขึ้น3เท่าจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 60-70 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 210 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ส่วนหนึ่งของการเติบโตในปีนี้ น่าจะมาจากมูลค่างานในมือ (backlog) ซึ่ง ณ สิ้นปี 53 อยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท และคาดว่า จะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 1.8 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนเข้าประมูลงานใหม่ภายในช่วงครึ่งปีแรกรวมมูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านบาท โดยคาดว่า จะได้รับงานราว 700-800 ร้อยล้านบาท
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ หัวหน้าธุรกิจวาณิชธนกิจ บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในดีลนี้ กล่าวว่า ดีลการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะแล้วเสร็จภายในช่วงกลางปีนี้ โดย MFEC จะเริ่มรับรู้รายได้และกำไรของอีก 3 บริษัทเข้ามาในช่วงไตรมาส 3 ขณะที่ มาร์เก็ตแคป หลังจากควบรวมกิจการจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.3-2.4 พันล้านบาท จากเดิมที่ 1.4-1.5 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อควบรวมเสร็จเชื่อว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนของบริษัทในรอบนี้ เพื่อนำไปชำระค่าซื้อหุ้นของกิจการทั้ง3บริษัทนั้นจะมีผลทำให้เกิด dilution effect ต่อหุ้นในสัดส่วนประมาณ 37%
