กลุ่มอิตัลเลียนไทยวางแผนปรับภาพลักษณ์องค์กร สร้างความชัดเจนใน 5 กลุ่มธุรกิจมูลค่าเกือบแสนล้านบาท คาดแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2554 ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่เฉลี่ย 3-4 โครงการในปี 2554-2556 มูลค่าเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อโครงการ สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ กรรมการบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ ITD ทายาทรุ่นที่สามของกลุ่มอิตัลเลียนไทย เปิดเผยว่า เนื่องจากกลุ่มอิตัลเลียนไทยมีธุรกิจในเครืออยู่มากกว่า 30 ธุรกิจ แต่เมื่อพูดถึงกลุ่มอิตัลเลียนไทย มักจะนึกถึงธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาทมากกว่าที่จะนึกถึงธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่ม ตนในฐานะทายาทรุ่นที่สามของครอบครัวเลยมีแนวคิดว่าจะรีแบรนด์ดิ้งของกลุ่มเพื่อให้มีความชัดเจนว่า ธุรกิจของอิตัลเลียนไทยมีมากกว่า ธุรกิจรับเหมาะก่อสร้าง
ปัจจุบันธุรกิจในกลุ่มอิตาเลี่ยนไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี ภายใต้การบริหารของบริษัท อิตาลเลียนไทย ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ถัดมาเป็นธุรกิจด้านเอ็นจิเนียริ่ง ที่ดูแลโดยบริษัท อิตัลเลียน ไทย เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มธุรกิจการค้าที่ทำเกี่ยวกับการจัดจำหน่ายไวท์ รถขุด ที่ดูแลโดยบริษัท อิตัลเลียน ไทย อินดัสตรี จำกัด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นกลุ่มธุรกิจที่สี่ ซึ่งจัดตั้งเมื่อปี 2553 ภายใต้การบริหารงานของบริษัท อมารี เอสเตท จำกัด และกลุ่มธุรกิจที่ 5 เป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่ดูแลโดยบริษัท ออนิกซ์ ฮอทพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด
นายยุทธชัย กล่าวว่า การปรับภาพลักษณ์องค์กรดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ เพื่อให้ภาพของกลุ่มธุรกิจของอิตัลไทย มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นอาจใช้แบรนด์ “อิตาเลียนไทย คอร์ปอเรชั่น”
ส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมที่หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวจะเปิดขายในปีนี้ แบ่งเป็นส่วนของวิลล่า 10 หลัง และคอนโดมิเนียม 190 ห้อง ราคาเริ่มต้นประมาณ 7-8 ล้านบาทต่อห้อง
นายยุทธชัย ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท อมารี เอ็ซเทท จำกัด กล่าวว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการหัวหิน เรสซิเด้นท์ มูลค่า 2,000 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมียอดขายมากกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่ารวม คาดว่าจะสามารถส่งมอบโครงการได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทในปีนี้
การลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์บริษัทจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดในรูปแบบของคอนโดเทล กล่าวคือ เปิดตัวโครงการใกล้กับโรงแรมของบริษัทเพื่อที่ลูกค้าที่ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมจะได้รับบริการจากทางโรงแรม ซึ่งจะทำให้มูลค่าโครงการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการที่หัวหิน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 80,000 บาทถึง 110,000 บาทต่อตารางเมตร เมื่อปี 2553 ปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 บาทถึง 140,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นต้น โดยอีก 3-4 โครงการที่จะเปิดในช่วงสามปีนี้จะอยู่ที่ ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน
ในขณะที่ธุรกิจโรงแรมปัจจุบันบริษัทบริหารอยู่ทั้งสิ้น 33 แห่งทั้งในและต่างประเทศ โดยมีแบรนด์อยู่ในกลุ่มทั้งสิ้น 4 แบรนด์คือ ซัฟฟรอน อมารี ชามา และโอโซ ปัจจุบัน 13 แห่งใช้แบรนด์ชามา โดย 12 แห่งอยู่ในประเทศจีน และอีก 1 แห่งอยู่ในประเทศไทย ส่วนแบรนด์อมารีมีทั้งสิ้น 13 แห่งในประเทศไทย และที่เหลืออีก 7 แห่งอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเหมาะกับแบรนด์ไหน โดยเป้าหมายของกลุ่มโรงแรมคาดว่าในปี 2561 จะมีโรงแรมในกลุ่มทั้งสิ้น 51 แห่ง
นายปีเตอร์ เฮนลีย์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2554 จะมีโรงแรมเพิ่มเข้ามาอีก 2-3 แห่ง แห่งแรกอยู่ที่ถนนวิทยุโดยจะเข้าไปบริหารโครงการโอเรียบเต็ล เรสซิเดนท์ กรุงเทพ โดยจะใช้แบรนด์ ซัฟฟรอน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการภายในไตรมาส 3 ของปีนี้
ส่วนอีกแห่งเป็นโครงการที่มัลดีฟท์ ที่จะใช้แบรนด์อมารี ถือเป็นการเปิดตัวแบรนด์อมารีครั้งแรกในต่างประเทศ และอีกแห่งจะเปิดที่หาดเฉวง เกาะสมุย ภายใต้แบรนด์โอโซ ซึ่งโครงการดังกล่าวใช้มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 600 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละ 50:50 ระหว่างบริษัท ออร์นิกซ์ กับกิจการในเครือของตระกูลจรณะจิตร์ โครงการดังกล่าวจะเปิดดำเนินการภายในปีนี้ ประมาณว่ารายได้จากธุรกิจในกลุ่มโรงแรมอยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปี นายเฮนรี่กล่าว
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ กรรมการบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ ITD ทายาทรุ่นที่สามของกลุ่มอิตัลเลียนไทย เปิดเผยว่า เนื่องจากกลุ่มอิตัลเลียนไทยมีธุรกิจในเครืออยู่มากกว่า 30 ธุรกิจ แต่เมื่อพูดถึงกลุ่มอิตัลเลียนไทย มักจะนึกถึงธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาทมากกว่าที่จะนึกถึงธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่ม ตนในฐานะทายาทรุ่นที่สามของครอบครัวเลยมีแนวคิดว่าจะรีแบรนด์ดิ้งของกลุ่มเพื่อให้มีความชัดเจนว่า ธุรกิจของอิตัลเลียนไทยมีมากกว่า ธุรกิจรับเหมาะก่อสร้าง
ปัจจุบันธุรกิจในกลุ่มอิตาเลี่ยนไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี ภายใต้การบริหารของบริษัท อิตาลเลียนไทย ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ถัดมาเป็นธุรกิจด้านเอ็นจิเนียริ่ง ที่ดูแลโดยบริษัท อิตัลเลียน ไทย เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มธุรกิจการค้าที่ทำเกี่ยวกับการจัดจำหน่ายไวท์ รถขุด ที่ดูแลโดยบริษัท อิตัลเลียน ไทย อินดัสตรี จำกัด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นกลุ่มธุรกิจที่สี่ ซึ่งจัดตั้งเมื่อปี 2553 ภายใต้การบริหารงานของบริษัท อมารี เอสเตท จำกัด และกลุ่มธุรกิจที่ 5 เป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่ดูแลโดยบริษัท ออนิกซ์ ฮอทพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด
นายยุทธชัย กล่าวว่า การปรับภาพลักษณ์องค์กรดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ เพื่อให้ภาพของกลุ่มธุรกิจของอิตัลไทย มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นอาจใช้แบรนด์ “อิตาเลียนไทย คอร์ปอเรชั่น”
ส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมที่หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวจะเปิดขายในปีนี้ แบ่งเป็นส่วนของวิลล่า 10 หลัง และคอนโดมิเนียม 190 ห้อง ราคาเริ่มต้นประมาณ 7-8 ล้านบาทต่อห้อง
นายยุทธชัย ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท อมารี เอ็ซเทท จำกัด กล่าวว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการหัวหิน เรสซิเด้นท์ มูลค่า 2,000 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมียอดขายมากกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่ารวม คาดว่าจะสามารถส่งมอบโครงการได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทในปีนี้
การลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์บริษัทจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดในรูปแบบของคอนโดเทล กล่าวคือ เปิดตัวโครงการใกล้กับโรงแรมของบริษัทเพื่อที่ลูกค้าที่ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมจะได้รับบริการจากทางโรงแรม ซึ่งจะทำให้มูลค่าโครงการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการที่หัวหิน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 80,000 บาทถึง 110,000 บาทต่อตารางเมตร เมื่อปี 2553 ปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 บาทถึง 140,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นต้น โดยอีก 3-4 โครงการที่จะเปิดในช่วงสามปีนี้จะอยู่ที่ ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน
ในขณะที่ธุรกิจโรงแรมปัจจุบันบริษัทบริหารอยู่ทั้งสิ้น 33 แห่งทั้งในและต่างประเทศ โดยมีแบรนด์อยู่ในกลุ่มทั้งสิ้น 4 แบรนด์คือ ซัฟฟรอน อมารี ชามา และโอโซ ปัจจุบัน 13 แห่งใช้แบรนด์ชามา โดย 12 แห่งอยู่ในประเทศจีน และอีก 1 แห่งอยู่ในประเทศไทย ส่วนแบรนด์อมารีมีทั้งสิ้น 13 แห่งในประเทศไทย และที่เหลืออีก 7 แห่งอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเหมาะกับแบรนด์ไหน โดยเป้าหมายของกลุ่มโรงแรมคาดว่าในปี 2561 จะมีโรงแรมในกลุ่มทั้งสิ้น 51 แห่ง
นายปีเตอร์ เฮนลีย์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2554 จะมีโรงแรมเพิ่มเข้ามาอีก 2-3 แห่ง แห่งแรกอยู่ที่ถนนวิทยุโดยจะเข้าไปบริหารโครงการโอเรียบเต็ล เรสซิเดนท์ กรุงเทพ โดยจะใช้แบรนด์ ซัฟฟรอน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการภายในไตรมาส 3 ของปีนี้
ส่วนอีกแห่งเป็นโครงการที่มัลดีฟท์ ที่จะใช้แบรนด์อมารี ถือเป็นการเปิดตัวแบรนด์อมารีครั้งแรกในต่างประเทศ และอีกแห่งจะเปิดที่หาดเฉวง เกาะสมุย ภายใต้แบรนด์โอโซ ซึ่งโครงการดังกล่าวใช้มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 600 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละ 50:50 ระหว่างบริษัท ออร์นิกซ์ กับกิจการในเครือของตระกูลจรณะจิตร์ โครงการดังกล่าวจะเปิดดำเนินการภายในปีนี้ ประมาณว่ารายได้จากธุรกิจในกลุ่มโรงแรมอยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปี นายเฮนรี่กล่าว