บล.ทิสโก้ ชี้ ต่างประเทศไม่กังวลปัจจัยการเมืองไทยแล้ว หลังจบคดียึดทรัพย์คาดกลับซื้อสุทธิตลอดมีนาคมนี้อีก 1 หมื่นล้านบาท หนุนดัชนีจากนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ไม่เกิน 755 จุด แนะขายหุ้นทำกำไรช่วงวันที่ 22-24 มี.ค.ก่อนหุ้นปรับฐาน เม.ย. จากดอกเบี้ยโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ติงนักลงทุนรายย่อย-สถาบันไทยกังวลการเมืองเกิดเหตุ พร้อมคาดดัชนีหุ้นไทยช่วงไตรมาส2-3 แกว่งตัว 670-755 จุด แต่ไตรมาส4 หุ้นแตะ 800 จุด พร้อมแนะเลี่ยงหุ้นกลุ่มสื่อสาร จากมีความเสี่ยงเรื่องแก้ไขสัญญาณสัปทานที่ใช้เวลาพิจารณานาน1 ปี
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงานสัมมนา “กลยุทธ์หุ้น-หลังยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท” ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์นั้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นจากนักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิจากไม่มีความกังวลในเรื่องปัจจัยการเมือง เพราะนักลงทุนต่างประเทศมองว่า จากนี้ไม่มีประเด็นที่น่ากังวลแล้ว หลังจากที่มีการตัดสินคดียึดทรัพย์ออกมา
โดยตั้งแต่16 กุมภาพันธ์ –วันที่3 กุมภาพันธ์ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1.4 หมื่นล้านบาท และจากราคาหุ้นไทยยังต่ำมูลค่าที่แท้จริง แต่การกลับมาซื้อจะยังไม่มากนัก โดยประเมินว่าเดือนมีนาคมนี้ นักลงทุนต่างประเทศจะมีการซื้อสุทธิอีก 1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้มองว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่เกิน 755 จุด โดยในช่วงสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานในช่วงต้นสัปดาห์อยู่ที่ 720 จุด เพราะนักลงทุนจะขายทำกำไรจากการที่ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 688จุด ถึงวันที่ 3 มีนาคม อยู่ที่ 740 จุด ดันดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 50-60จุด แต่จะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งส่วนตัวแนะนำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นในช่วงปลายเดือน หรือวันที่ 22-24 มีนาคม ก่อนที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงในช่วงเดือนเมษายน จากความกังวลในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือนดังกล่าว เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และจีนจะขึ้นอัดตราดอกเบี้ยในต้นเดือนเมษายนนี้
“หุ้นเดือนมี.ค.จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากต่างประเทศเข้ามาซื้อ หลังจากที่ผ่านมาการเมืองไทยถ่วงหุ้นมา 1 ปีแล้วทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นออกไป โดยช่วง 1 ปี ครึ่งที่ผ่านมาต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทย 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งปีที่แล้วกลับมาซื้อครึ่งหนึงที่7.5หมื่นล้านบาทพอมีข่าวจะตัดสินคดียึดทรัพย์นมีขายออกอีก 4 เดือนในช่วงกลางเดือนต.ค.-16 ก.พ.อีก 3.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ต่างประเทศมีหุ้นไทยน้อยมากจึงกลับเข้ามาซื้อสุทธิแต่การซื้อคงจะไม่กลับมาซื้อเต็มๆคงดูจังหวะ โดยวานนี้ 4 มี.ค.หุ้นเอเชียปรับตัวดลงแรงแต่หุ้นไทยปรับตัวลดลงเล็กน้อยเท่านั้นถือว่าตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่ง”นายวิวัฒน์ กล่าว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลังจากนี้ นายวิวัฒน์ ประเมินว่า จะเป็นเรื่องปัจจัยต่างประเทศจากการที่กรีซจะครบกำหนดการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งหากผิดนัดชำระดอกเบี้ยก็จะทำให้แอสแอนด์พีมีการปรับลดอันดับเครดิตของประเทศ และจะส่งผลกระทบต่อการลงทุน รวมทั้งการที่เฟด และจีนจะมีการขึ้นดอกเบี้ยนั้นจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง
ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศไทยนั้นต่างประเทศไม่น่ากังวลแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ และนักลงทุนต่างประเทศมีการลงทุนในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่มีปัญหามากกว่าไทย เหลือแต่นักลงทุนไทยและกองทุนที่มีความกังวลการเมืองมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงกลยุทธ์ในการลงทุน
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส2/53-ไตรมาส3/53นั้นจะเป็นช่วงรอยต่อที่นักลงทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะมีการลดพอร์ตการลงทุนหุ้นเพื่อที่จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ จากการที่อัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จากการที่อัตราดอกเบี้ยยังไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเต็มที่นั้นอาจจะทำให้นักลงทุนยังให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้ไม่มาก โดยบริษัทให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนีในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 670 -755 จุด และคาดว่าในช่วงไตรมาส4/53 ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 800 จุด ได้
ทั้งนี้ บริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอาจจะมีการแก้ไขสัญญาสัปทานหลังจากที่ศาลฎีกาฯมีคำตัดสิน ซึ่งกว่าจะมีความชัดเจนว่าจะแก้ไขสัญญาหรือไม่จะใช้เวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี โดยปัจจุบัน ราคาหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 82 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปรับปัจจัยพื้นฐานที่อยู่ที่ 85-90 บาทต่อหุ้นแล้ว ขณะที่หุ้นของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)หรือ THCOM นั้น ศาลฯมีคำตัดสินว่าผิดจึงนั้นทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจาก 8 บาท มาอยู่ที่ 4.40บาท ซึ่งปรับตัวลดลงมาพอสมควรแล้ว ส่วนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SHIN นั้นจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยส่วนตัวมองว่าการที่หุ้นปรับตัวลดลงมานั้นผู้ถือหุ้นใหญ่เทมาเส็ก นั้นเชื่อว่าจะยังคงถือหุ้นอยู่
“การลงทุนหุ้นในปีนี้นั้นการเลือกหุ้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่ปัจจัยที่สำคัญคือจังหวะในการเข้าลงทุนจะต้องเข้าให้ถูกจังหวะถึงจะได้รับผลตอบแทนที่สูง ”นายวิวัฒน์กล่าว
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงานสัมมนา “กลยุทธ์หุ้น-หลังยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท” ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์นั้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นจากนักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิจากไม่มีความกังวลในเรื่องปัจจัยการเมือง เพราะนักลงทุนต่างประเทศมองว่า จากนี้ไม่มีประเด็นที่น่ากังวลแล้ว หลังจากที่มีการตัดสินคดียึดทรัพย์ออกมา
โดยตั้งแต่16 กุมภาพันธ์ –วันที่3 กุมภาพันธ์ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1.4 หมื่นล้านบาท และจากราคาหุ้นไทยยังต่ำมูลค่าที่แท้จริง แต่การกลับมาซื้อจะยังไม่มากนัก โดยประเมินว่าเดือนมีนาคมนี้ นักลงทุนต่างประเทศจะมีการซื้อสุทธิอีก 1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้มองว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่เกิน 755 จุด โดยในช่วงสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานในช่วงต้นสัปดาห์อยู่ที่ 720 จุด เพราะนักลงทุนจะขายทำกำไรจากการที่ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 688จุด ถึงวันที่ 3 มีนาคม อยู่ที่ 740 จุด ดันดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 50-60จุด แต่จะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งส่วนตัวแนะนำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นในช่วงปลายเดือน หรือวันที่ 22-24 มีนาคม ก่อนที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงในช่วงเดือนเมษายน จากความกังวลในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือนดังกล่าว เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และจีนจะขึ้นอัดตราดอกเบี้ยในต้นเดือนเมษายนนี้
“หุ้นเดือนมี.ค.จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากต่างประเทศเข้ามาซื้อ หลังจากที่ผ่านมาการเมืองไทยถ่วงหุ้นมา 1 ปีแล้วทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นออกไป โดยช่วง 1 ปี ครึ่งที่ผ่านมาต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทย 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งปีที่แล้วกลับมาซื้อครึ่งหนึงที่7.5หมื่นล้านบาทพอมีข่าวจะตัดสินคดียึดทรัพย์นมีขายออกอีก 4 เดือนในช่วงกลางเดือนต.ค.-16 ก.พ.อีก 3.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ต่างประเทศมีหุ้นไทยน้อยมากจึงกลับเข้ามาซื้อสุทธิแต่การซื้อคงจะไม่กลับมาซื้อเต็มๆคงดูจังหวะ โดยวานนี้ 4 มี.ค.หุ้นเอเชียปรับตัวดลงแรงแต่หุ้นไทยปรับตัวลดลงเล็กน้อยเท่านั้นถือว่าตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่ง”นายวิวัฒน์ กล่าว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลังจากนี้ นายวิวัฒน์ ประเมินว่า จะเป็นเรื่องปัจจัยต่างประเทศจากการที่กรีซจะครบกำหนดการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งหากผิดนัดชำระดอกเบี้ยก็จะทำให้แอสแอนด์พีมีการปรับลดอันดับเครดิตของประเทศ และจะส่งผลกระทบต่อการลงทุน รวมทั้งการที่เฟด และจีนจะมีการขึ้นดอกเบี้ยนั้นจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง
ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศไทยนั้นต่างประเทศไม่น่ากังวลแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ และนักลงทุนต่างประเทศมีการลงทุนในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่มีปัญหามากกว่าไทย เหลือแต่นักลงทุนไทยและกองทุนที่มีความกังวลการเมืองมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงกลยุทธ์ในการลงทุน
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส2/53-ไตรมาส3/53นั้นจะเป็นช่วงรอยต่อที่นักลงทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะมีการลดพอร์ตการลงทุนหุ้นเพื่อที่จะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ จากการที่อัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จากการที่อัตราดอกเบี้ยยังไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเต็มที่นั้นอาจจะทำให้นักลงทุนยังให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้ไม่มาก โดยบริษัทให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนีในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 670 -755 จุด และคาดว่าในช่วงไตรมาส4/53 ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 800 จุด ได้
ทั้งนี้ บริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอาจจะมีการแก้ไขสัญญาสัปทานหลังจากที่ศาลฎีกาฯมีคำตัดสิน ซึ่งกว่าจะมีความชัดเจนว่าจะแก้ไขสัญญาหรือไม่จะใช้เวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี โดยปัจจุบัน ราคาหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 82 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปรับปัจจัยพื้นฐานที่อยู่ที่ 85-90 บาทต่อหุ้นแล้ว ขณะที่หุ้นของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)หรือ THCOM นั้น ศาลฯมีคำตัดสินว่าผิดจึงนั้นทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจาก 8 บาท มาอยู่ที่ 4.40บาท ซึ่งปรับตัวลดลงมาพอสมควรแล้ว ส่วนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SHIN นั้นจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยส่วนตัวมองว่าการที่หุ้นปรับตัวลดลงมานั้นผู้ถือหุ้นใหญ่เทมาเส็ก นั้นเชื่อว่าจะยังคงถือหุ้นอยู่
“การลงทุนหุ้นในปีนี้นั้นการเลือกหุ้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่ปัจจัยที่สำคัญคือจังหวะในการเข้าลงทุนจะต้องเข้าให้ถูกจังหวะถึงจะได้รับผลตอบแทนที่สูง ”นายวิวัฒน์กล่าว