ตลาดหลักทรัพย์ฯเผย ปี52 กำไรพอร์ตลงทุน 21.8% เหตุ ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้น-ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนดี ด้านบอร์ด ไฟเขียว คงสัดส่วนลงทุนเหมือนปีก่อน พร้อมอนุมัติวงเงินลงทุนหุ้น-ตราสารหนี้ 5 พันล้านบาท หลังกันเงินสำรองเคลียร์ริ่ง พร้อมล้มแผนลงทุนตรงต่างประเทศ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า เงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯณสิ้นปี2552 มีอยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการ(บอร์ด)ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการจัดสรรให้สำรองไว้เพื่อชำระราคาส่งมอบหลักทรัพย์ (เคลียร์ริ่ง)ของตลท.และตลาดอนุพันธ์ 50% หรือ 5,000 ล้านบาท ส่วนอีก 50% หรือประมาณ5,000 ล้านบาท นั้นเป็นวงเงินเพื่อใช้ในการลงทุนตราสารหนี้และตราสารทุน
ทั้งนี้ ทางบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการเห็นชอบให้มีการคงสัดส่วนการลงทุนเหมือนเดิม ตามที่ฝ่ายจัดการได้เสนอมาคือ ลงทุนในหุ้น 45% ลงทุนในกองทุนเพื่อลงทุนต่างประเทศ (FIF) ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 5% และอีก 45% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และให้สามารถมีการปรับสัดส่วนลงทุนในทุกการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นได้ 20% โดยทุกๆ3เดือนนั้นจะมีการทบทวนเพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
แหล่งข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ฯกล่าวว่า ปีที่ผ่านมาพอร์ตการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯมีกำไร 21.8% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นมีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยในช่วงปลายปีตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนเน้นการลงทุนในหุ้นมากขึ้นและการลงทุนในตราสารหนี้ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีจากมีการบริหารพอร์ตที่ดีได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก และตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการยกเลิกที่จะมีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศเอง แต่จะให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้บริหารให้ จากที่มีความรู้ความชำนาญในการลงทุนมากกว่า โดยจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนFIF
“ผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนในปีที่ผ่านมาของตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นมีการบริหารได้ชนะเบนมาร์คซึ่งมีกำไรพอร์ต 21.8% จากที่ในช่วงปลายปีบริษัทได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพิ่มจากช่วงดังกล่าว ตลาดหุ้นมีการปรับตัวดีเพิ่มขึ้น และการลงทุนในตราสารหนี้นั้นมีการบริหารที่ดีทำให้มีผลตอบแทนดี โดยสัดส่วนการลงทุนปีที่แล้วนั้นเป็นการลงทุนหุ้นและตราสารทุนต่างๆ 25% และที่เหลือเป็นตราสารหนี้75% ”แหล่งข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าว
สำหรับสินทรัพย์รวมของตลาดหลักทรัพย์ฯณสิ้นปี 2552 ประมาณ 20,000 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินรวมในการลงทุนและวงเงินที่ใช้กันไว้เพื่อใช้ในการเคลียร์ริ่งหุ้นและเคลียร์ริ่งของตลาดอนุพันธ์และมีการกันเงินสำรองไว้อนาคต รวมถึงวงเงินพอร์ตการลงทุน และมีเงินที่ได้มีการลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน)หรือ TSFC และสินทรัพย์ฯที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ฯ
อนึ่งก่อนหน้านี้ นางภัทรียา กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯในปี2552 ปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก มูลค่าการซื้อขายของตลาดรวมปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น 13% อยู่ที่ 17,853.82 ล้านบาทต่อวัน จากปี2551 ที่มี 15,869.94 ล้านบาทต่อวัน และพอร์ตการลงทุนของบริษัทดีขึ้นจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งงบการเงินของตลาดหลักทรัพย์ฯขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ คาดว่าจะเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ ส่วนเม็ดเงินที่ตลาดหลักทรัพย์ฯยังไม่ได้ลงทุนในกองทุนร่วมทุน (แมทชิ่งฟันด์) กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)นั้น ตลท.จะนำไปใช้ในการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯด้านอื่นๆแทน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า เงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯณสิ้นปี2552 มีอยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการ(บอร์ด)ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการจัดสรรให้สำรองไว้เพื่อชำระราคาส่งมอบหลักทรัพย์ (เคลียร์ริ่ง)ของตลท.และตลาดอนุพันธ์ 50% หรือ 5,000 ล้านบาท ส่วนอีก 50% หรือประมาณ5,000 ล้านบาท นั้นเป็นวงเงินเพื่อใช้ในการลงทุนตราสารหนี้และตราสารทุน
ทั้งนี้ ทางบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการเห็นชอบให้มีการคงสัดส่วนการลงทุนเหมือนเดิม ตามที่ฝ่ายจัดการได้เสนอมาคือ ลงทุนในหุ้น 45% ลงทุนในกองทุนเพื่อลงทุนต่างประเทศ (FIF) ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 5% และอีก 45% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และให้สามารถมีการปรับสัดส่วนลงทุนในทุกการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นได้ 20% โดยทุกๆ3เดือนนั้นจะมีการทบทวนเพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
แหล่งข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ฯกล่าวว่า ปีที่ผ่านมาพอร์ตการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯมีกำไร 21.8% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นมีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยในช่วงปลายปีตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนเน้นการลงทุนในหุ้นมากขึ้นและการลงทุนในตราสารหนี้ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีจากมีการบริหารพอร์ตที่ดีได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก และตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการยกเลิกที่จะมีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศเอง แต่จะให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้บริหารให้ จากที่มีความรู้ความชำนาญในการลงทุนมากกว่า โดยจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนFIF
“ผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนในปีที่ผ่านมาของตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นมีการบริหารได้ชนะเบนมาร์คซึ่งมีกำไรพอร์ต 21.8% จากที่ในช่วงปลายปีบริษัทได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพิ่มจากช่วงดังกล่าว ตลาดหุ้นมีการปรับตัวดีเพิ่มขึ้น และการลงทุนในตราสารหนี้นั้นมีการบริหารที่ดีทำให้มีผลตอบแทนดี โดยสัดส่วนการลงทุนปีที่แล้วนั้นเป็นการลงทุนหุ้นและตราสารทุนต่างๆ 25% และที่เหลือเป็นตราสารหนี้75% ”แหล่งข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าว
สำหรับสินทรัพย์รวมของตลาดหลักทรัพย์ฯณสิ้นปี 2552 ประมาณ 20,000 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินรวมในการลงทุนและวงเงินที่ใช้กันไว้เพื่อใช้ในการเคลียร์ริ่งหุ้นและเคลียร์ริ่งของตลาดอนุพันธ์และมีการกันเงินสำรองไว้อนาคต รวมถึงวงเงินพอร์ตการลงทุน และมีเงินที่ได้มีการลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน)หรือ TSFC และสินทรัพย์ฯที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ฯ
อนึ่งก่อนหน้านี้ นางภัทรียา กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯในปี2552 ปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก มูลค่าการซื้อขายของตลาดรวมปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น 13% อยู่ที่ 17,853.82 ล้านบาทต่อวัน จากปี2551 ที่มี 15,869.94 ล้านบาทต่อวัน และพอร์ตการลงทุนของบริษัทดีขึ้นจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งงบการเงินของตลาดหลักทรัพย์ฯขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ คาดว่าจะเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ ส่วนเม็ดเงินที่ตลาดหลักทรัพย์ฯยังไม่ได้ลงทุนในกองทุนร่วมทุน (แมทชิ่งฟันด์) กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)นั้น ตลท.จะนำไปใช้ในการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯด้านอื่นๆแทน