เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างฯ เครือซิเมนต์ไทย ทยอยฮุบ "Q-CON" ทุ่ม 786 ล้านบาท ซื้อต่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 204 ล้านหุ้น ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ หวังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รุกธุรกิจอสังหาฯอย่างเต็มลูกสูบ จับตาเครือข่ายแลนด์ อาจโชว์รายการพิเศษหนุนผลประกอบการ
นายพยนต์ ศักดิ์เดชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Q-CON กล่าวว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทซึ่งประกอบด้วย บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 97.32 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.33% ,บริษัท คิว.เอช.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 5,805,000 หุ้น คิดเป็น 1.45% , บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 59,877,700 หุ้น คิดเป็น 14.97% และบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 40,997,300 หุ้น คิดเป็น10.25 % ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงขายหุ้น Q-CON ให้แก่ บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด รวมทั้งสิ้น 204 ล้านหุ้น คิดเป็น 51% คิดเป็นมูลค่ารวม 786,000,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น บริษัทได้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขึ้นเครื่องหมาย "SP" หลักทรัพย์ของบริษัทตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.-5 ก.พ. เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องซื้อในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 51% ของหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้ว และผู้ซื้อจะต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender offer) ตามกฏเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ล่าสุด ทางตลาดหลักทรัพย์ ได้ปลดเครื่องหมาย SP ในหลักทรัพย์ของ Q-CON หลังจากได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการซื้อขายแล้ว โดยได้รับแจ้งจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้ทำการลงนามขายหุ้นให้แก่ บริษัท เอสซีจีผลิตภัณฑ์ก่อสร้างฯ ซึ่งถือหุ้น 100% โดยบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) รวม 204 ล้านหุ้น ในราคา 4 บาทต่อหุ้น
ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) กล่าวว่า ตามบันทึกข้อตกลงอาจถูกยกเลิกได้ หากทั้ง2ฝ่ายไม่บรรลุผลตามข้อตกลงภายในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ทำบันทึกข้อตกลง หรือหุ้น Q-CON มีมูลค่าลดลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างเรียบร้อย ทางเอสซีจี จะทำคำเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยต่อไป
“ Q-Con เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายคอนกรีตมวลเบา ด้วยกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 12 ล้านตารางเมตรต่อปี มีโรงงานผลิตในจังหวัดอยุธยาและระยองรวมทั้งสิ้น 4 โรงงาน ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้ ปูนซิเมนต์ไทยสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าวัสดุก่อสร้างได้อย่างครบถ้วน เป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างได้ดียิ่งขึ้น ” นายกานต์กล่าว
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ กล่าวว่า การขายหุ้นครั้งนี้ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 163.99 ล้านบาท และหุ้นของแลนด์ฯในQ-CONจะคงเหลือ 84,627,680 หุ้น คิดเป็น21.16%
ด้านนางสุวรรณา พุทธประสาท กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการบริษัท คลอลิตี้เฮ้าส์ฯ กล่าวเสริมว่า บริษัทฯได้ถือหุ้น Q-CON ในระยะเวลานานแล้ว แต่ขณะนี้ได้ผลตอบแทนการลงทุนค่อนข้างน้อย ประกอบกับบริษัทจะหันมาพัฒนาธุรกิจอสังหาฯเพียงอย่างเดียว ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักและสร้างผลตอบแทนให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง
"หลังจากที่เราขาย Q-CON คงยังไม่เห็นการลงทุนในรูปแบบนี้อีก แต่การขายครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นรูปแบบการลงทุนปกติ ที่เมื่อลงทุนแล้วไม่ได้ผลตอบแทนตามที่วางไว้ ก็ควรต้องพิจารณาขายหุ้น และเราก็มาโฟกัสในธุรกิจเราอย่างเดียว ส่วนจะไปลงทุนลักษณะนี้อีกหรือไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้"นางสุวรรณา กล่าว
อนึ่ง การที่เอสซีจี ขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภครายย่อยมากขึ้น ก็เป็นไปตามนโยบายการเสริมสร้างศักยภาพของเครือซิเมนต์ไทยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการลงทุนในQ-CON ครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้การเดินเข้าสู่ธุรกิจอสังหาฯมีความแข็งแกร่งขึ้น จากก่อนหน้านี้ ทางบริษัทเอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างฯ ได้ร่วมทุนกับญี่ปุ่นในการจัดตั้งบริษัท เซกิซุย-เอสซีจี อินดัสทรี จำกัด โดยเปิดตัวเอสซีจี-ไฮม์ บ้านสำเร็จรูป ระบบโมดุลลาร์ ที่จะเริ่มเดินเครื่องผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อทำตลาดได้
ในต้นปีนี้ ในเบื้องต้นจะมีกำลังการผลิต 220 หลังต่อปี และตั้งเป้ายอดขายปีแรกที่ 100 หลัง หรือคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท โดยภายใน 3 ปีจะมียอดขายเต็มกำลังการผลิต หรือมียอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่เป้าหมายสูงสุดของธุรกิจนี้คือ 10,000 ล้านบาท หรือมียอดผลิตบ้านในตลาดพรีเมียมประมาณ 10% ของปริมาณความต้องการบ้านในกลุ่มพรีเมียมต่อปีที่ 40,000 หลัง จากความต้องการบ้านในตลาดทั้งหมดต่อปีที่ 4 แสนหลัง
ทั้งนี้ บ้านสำเร็จรูปเอสซีจี-ไฮม์ เป็นนวัตกรรมการสร้างบ้านที่ส่วนประกอบบ้านกว่า 80% ถูกผลิตในโรงงานและประกอบเป็นโมดุล หรือกล่องสำเร็จรูป และนำมาติดตั้งที่หน้างาน โดยใช้เวลา 1-2 วัน รวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มออกแบบบ้านตามลักษณะการใช้ชีวิตของลูกค้าไปจนถึงการสร้างฐานราก วางระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน ตลอดจนประกอบบ้านจนแล้วเสร็จรวม 3 เดือน ส่วนราคาขายเบื้องต้นตร.ม.ละ 25,000 บาท ใกล้เคียงกับค่าก่อสร้างบ้านในระบบก่ออิฐฉาบปูน สำหรับแผนการทำตลาดมีเป้าหมายที่บริษัทรับสร้างบ้านและผู้ประกอบการพัฒนาที่ดิน
นายพยนต์ ศักดิ์เดชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Q-CON กล่าวว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทซึ่งประกอบด้วย บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 97.32 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.33% ,บริษัท คิว.เอช.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 5,805,000 หุ้น คิดเป็น 1.45% , บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 59,877,700 หุ้น คิดเป็น 14.97% และบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 40,997,300 หุ้น คิดเป็น10.25 % ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงขายหุ้น Q-CON ให้แก่ บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด รวมทั้งสิ้น 204 ล้านหุ้น คิดเป็น 51% คิดเป็นมูลค่ารวม 786,000,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น บริษัทได้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขึ้นเครื่องหมาย "SP" หลักทรัพย์ของบริษัทตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.-5 ก.พ. เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องซื้อในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 51% ของหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้ว และผู้ซื้อจะต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender offer) ตามกฏเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ล่าสุด ทางตลาดหลักทรัพย์ ได้ปลดเครื่องหมาย SP ในหลักทรัพย์ของ Q-CON หลังจากได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการซื้อขายแล้ว โดยได้รับแจ้งจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้ทำการลงนามขายหุ้นให้แก่ บริษัท เอสซีจีผลิตภัณฑ์ก่อสร้างฯ ซึ่งถือหุ้น 100% โดยบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) รวม 204 ล้านหุ้น ในราคา 4 บาทต่อหุ้น
ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) กล่าวว่า ตามบันทึกข้อตกลงอาจถูกยกเลิกได้ หากทั้ง2ฝ่ายไม่บรรลุผลตามข้อตกลงภายในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ทำบันทึกข้อตกลง หรือหุ้น Q-CON มีมูลค่าลดลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างเรียบร้อย ทางเอสซีจี จะทำคำเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยต่อไป
“ Q-Con เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายคอนกรีตมวลเบา ด้วยกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 12 ล้านตารางเมตรต่อปี มีโรงงานผลิตในจังหวัดอยุธยาและระยองรวมทั้งสิ้น 4 โรงงาน ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้ ปูนซิเมนต์ไทยสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าวัสดุก่อสร้างได้อย่างครบถ้วน เป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างได้ดียิ่งขึ้น ” นายกานต์กล่าว
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ กล่าวว่า การขายหุ้นครั้งนี้ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 163.99 ล้านบาท และหุ้นของแลนด์ฯในQ-CONจะคงเหลือ 84,627,680 หุ้น คิดเป็น21.16%
ด้านนางสุวรรณา พุทธประสาท กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการบริษัท คลอลิตี้เฮ้าส์ฯ กล่าวเสริมว่า บริษัทฯได้ถือหุ้น Q-CON ในระยะเวลานานแล้ว แต่ขณะนี้ได้ผลตอบแทนการลงทุนค่อนข้างน้อย ประกอบกับบริษัทจะหันมาพัฒนาธุรกิจอสังหาฯเพียงอย่างเดียว ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักและสร้างผลตอบแทนให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง
"หลังจากที่เราขาย Q-CON คงยังไม่เห็นการลงทุนในรูปแบบนี้อีก แต่การขายครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นรูปแบบการลงทุนปกติ ที่เมื่อลงทุนแล้วไม่ได้ผลตอบแทนตามที่วางไว้ ก็ควรต้องพิจารณาขายหุ้น และเราก็มาโฟกัสในธุรกิจเราอย่างเดียว ส่วนจะไปลงทุนลักษณะนี้อีกหรือไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้"นางสุวรรณา กล่าว
อนึ่ง การที่เอสซีจี ขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภครายย่อยมากขึ้น ก็เป็นไปตามนโยบายการเสริมสร้างศักยภาพของเครือซิเมนต์ไทยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการลงทุนในQ-CON ครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้การเดินเข้าสู่ธุรกิจอสังหาฯมีความแข็งแกร่งขึ้น จากก่อนหน้านี้ ทางบริษัทเอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างฯ ได้ร่วมทุนกับญี่ปุ่นในการจัดตั้งบริษัท เซกิซุย-เอสซีจี อินดัสทรี จำกัด โดยเปิดตัวเอสซีจี-ไฮม์ บ้านสำเร็จรูป ระบบโมดุลลาร์ ที่จะเริ่มเดินเครื่องผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อทำตลาดได้
ในต้นปีนี้ ในเบื้องต้นจะมีกำลังการผลิต 220 หลังต่อปี และตั้งเป้ายอดขายปีแรกที่ 100 หลัง หรือคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท โดยภายใน 3 ปีจะมียอดขายเต็มกำลังการผลิต หรือมียอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่เป้าหมายสูงสุดของธุรกิจนี้คือ 10,000 ล้านบาท หรือมียอดผลิตบ้านในตลาดพรีเมียมประมาณ 10% ของปริมาณความต้องการบ้านในกลุ่มพรีเมียมต่อปีที่ 40,000 หลัง จากความต้องการบ้านในตลาดทั้งหมดต่อปีที่ 4 แสนหลัง
ทั้งนี้ บ้านสำเร็จรูปเอสซีจี-ไฮม์ เป็นนวัตกรรมการสร้างบ้านที่ส่วนประกอบบ้านกว่า 80% ถูกผลิตในโรงงานและประกอบเป็นโมดุล หรือกล่องสำเร็จรูป และนำมาติดตั้งที่หน้างาน โดยใช้เวลา 1-2 วัน รวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มออกแบบบ้านตามลักษณะการใช้ชีวิตของลูกค้าไปจนถึงการสร้างฐานราก วางระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน ตลอดจนประกอบบ้านจนแล้วเสร็จรวม 3 เดือน ส่วนราคาขายเบื้องต้นตร.ม.ละ 25,000 บาท ใกล้เคียงกับค่าก่อสร้างบ้านในระบบก่ออิฐฉาบปูน สำหรับแผนการทำตลาดมีเป้าหมายที่บริษัทรับสร้างบ้านและผู้ประกอบการพัฒนาที่ดิน