"ชาญอสิระ" เตรียมยื่นไฟลิ่งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ศรีพันวา ภูเก็ต ปลายเดือน ก.พ.นี้ พร้อมคาดเปิดขายหน่วยลงทุนให้ผู้สนใจได้ช่วง พ.ค. หลบเดือน เม.ย.ที่มีช่วงวันหยุดหลายวัน ตั้งเป้าหวังนำเงินระดมทุนไปขยายกิจการโรงแรม และชำระหนี้ ส่วนปี้นี้ตั้งเป้าผลการดำเนินงานโตประมาณ 15 – 20% จาก 3 โครงการบ้านใหม่
นายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่ของบริษัท ว่า กองทุนใหม่นี้จะมีสินทรัพย์เป็นโรงแรมศรีพันวา จ.ภูเก็ต ขนาด 40 ห้อง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งประเมินว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งให้แก่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)พิจารณาได้ ประมาณช่วงปลายกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคมนี้
สำหรับการเปิดขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โครงการนี้ คาดว่าหากทุกอย่างได้รับการอนุมัติจากก.ล.ต.ตามแผนที่กำหนดไว้เชื่อว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนให้แก่ผู้ที่สนใจได้ประมาณเดือนพฤษภาคม เพราะแม้จะสามารถเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่ช่วงเมษายน แต่ส่วนตัวมองว่าเดือนดังงกล่าวมีช่วงเทศกาลวันหยุดเยอะ จึงไม่เหมาะแก่การเปิดขายหน่วยลงทุน ซึ่งถ้าเลื่อนออกไปเป็น พ.ค.น่าจะมีความเหมาะสมกว่า
ทั้งนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ตของ CI นี้ บริษัทได้มอบหมายให้ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการ โดยเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะนำไปขยายการลงทุนธุรกิจโรงแรม ซึ่งเบื้องต้นมี 2 แนวทางคือ ซื้อกิจการจากเจ้าของเดิมหรือซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาเอง ในจ.ภูเก็ตหรือ จ.กระบี่ เพราะตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว ขณะที่ส่วนที่ 2 บริษัทมีแผนจะนำไปชำระหนี้บางส่วนที่มีอยู่
นับได้ว่า หากการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประสบความสำเร็จ จะเป็นกองทุนที่ 2 ของ บมจ.ชาญอิสระ เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทได้จัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์มาก่อนแล้ว 1 โครงการ นั่นคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอก ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีสินทรัพย์ประกอบด้วย 1. ห้องชุดสำนักงานและห้องชุดพาณิชยกรรม จำนวน 29 ยูนิต พื้นที่รวม 6,917.64 ตร.ม. ในอาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ ถ.พระราม 4 คิดเป็นร้อยละ 30.63 ของพื้นที่ห้องชุดสุทธิที่สามารถซื้อ-ขายหรือปล่อยให้เช่า (Net Area)
2.ห้องชุดสำนักงานและห้องชุดพาณิชยกรรม จำนวน 109 ยูนิต พื้นที่รวม 22,468.60 ต.ร.ม. ใน อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ คิดเป็นร้อยละ 38.36 ของพื้นที่ห้องชุดสุทธิที่สามารถซื้อ-ขายหรือปล่อยให้เช่า (Net Area) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เป็นผู้จัดการกองทุน และมีผู้ดูแลผลประโยชน์ คือ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเปิดทำการซื้อขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 -26 ตุลาคม 2546
ปัจจับบัน กองทุนดังกล่าว มีนโยบายพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ใน แต่ละรอบปีบัญชี โดยบริษัทจัดการมีสิทธิพิจารณาจ่ายเงินปันผลในแต่ละงวดได้ตามอัตราที่เหมาะสม โดยเมื่อ รวมกันแล้วจะจ่าย ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกําไรสุทธิ หรือในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกําไรสุทธิ หักด้วยกําไรหรือขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
โดย ณ วันที่ 30 พ.ย. 2552 กองทุนมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนที่ 11.9918 บาท/หน่วย ลดลง 0.1110 บาท และมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 1,199.185 ล้านบาท พร้อมทั้งตลอดปีที่ผ่านมา กองทุนมีการจ่ายปันผล รวม 4 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ 16 มี.ค. 2552 ในอัตราเงินปันผลต่อหน่วยลงทุนที่ 0.1800 บาท วันที่15มิ.ย.2552 ในอัตรา 0.1850 บาท วันที่ 17ก.ย.ในอัตรา 0.1650 บาท และเมใอวันที่ 17ธ.ค.ในอัตรา 0.1700 บาท
นายสงกรานต์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มการดำเนินงานชองบริษัทใน 2553 ว่า ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ประมาณ 15 -20% พร้อมกับจะมีการลงทุนในยโครงการใหม่ทั้งสิ้น 3 โครงการ ซึ่งเป็นโครางการบ้านเดี่ยว โดยใช้งบลงทุนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ บ้านชะอำ-หัวหิน โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท โครงการบ้านในกรุงเทพมหานคร โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท และโครงการบ้านภูเก็ตโดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาทเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถเปิดขายโครงการแรกได้ในช่วงประมาณเดือนเมษายน ปีนี้
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของบริษัทประเมินแนวโน้มการเติบโตทางรายได้ของบริษัทไว้ที่ประมาณ 5-7% จากปี 2552 เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะเติบโตได้ค่อนข้างมาก จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ส่งผลผู้บริโภคมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะซื้อที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับผลบวกจากยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Back log) ซึ่งยกมาจาก ปี 2552 ที่จะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาทด้วย
สำหรับโครงการที่ยังเหลือขายอยู่ของบริษัท มี 4 โครงการ ได้แก่ 1. ดิ อิสสระ ลาดพร้าว คอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท ขายไปได้แล้วกว่า 60% 2.บ้านชาญทะเล ชะอำบ้านพักตากอากาศ ราคาตั้งแต่ 3-60 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท มียอดขายแล้วกว่า 70% 3. ศรีพันวา จ.ภูเก็ต ที่กำลังจะพัฒนาในเฟสที่ 4 บนเนื้อที่ 15 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท และ4. อิสสระ แอท ฟอร์ตี้ทู สุขุมวิท คอนโดมิเนียมจำนวน 69 ยูนิต มูลค่า 460 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้ว กว่า 80%
โดยแผนงานในปี 2553 บริษัทกลับมามุ่งเน้นพัฒนาโครงการในแนวราบ โดยจะมีทั้งโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ จับตลาดระดับราคา 5-10 ล้านบาท เพราะเห็นว่าตลาดในระดับนี้ยังมีโอกาสทางการตลาดที่ทำได้ ซึ่งจะพัฒนาในกรุงเทพฯ ทางโซนทิศตะวันออก แถวพระราม 9 พัฒนาการ และสุวรรณภูมิ นอกจากนี้จะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรือรีสอร์ตในต่างจังหวัดอีก 1 โครงการ แต่คอนโดมิเนียมมีโอกาสจะทำน้อย เพราะการแข่งขันในปัจจุบันมีสูง อีกทั้งที่ดินยังหาซื้อได้ยากและมีราคาสูง โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า และการก่อสร้างโครงการก็มีความซับซ้อนยุ่งยาก มีความเสี่ยงจากขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงค่อนข้างมาก
นายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่ของบริษัท ว่า กองทุนใหม่นี้จะมีสินทรัพย์เป็นโรงแรมศรีพันวา จ.ภูเก็ต ขนาด 40 ห้อง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งประเมินว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งให้แก่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)พิจารณาได้ ประมาณช่วงปลายกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคมนี้
สำหรับการเปิดขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โครงการนี้ คาดว่าหากทุกอย่างได้รับการอนุมัติจากก.ล.ต.ตามแผนที่กำหนดไว้เชื่อว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนให้แก่ผู้ที่สนใจได้ประมาณเดือนพฤษภาคม เพราะแม้จะสามารถเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่ช่วงเมษายน แต่ส่วนตัวมองว่าเดือนดังงกล่าวมีช่วงเทศกาลวันหยุดเยอะ จึงไม่เหมาะแก่การเปิดขายหน่วยลงทุน ซึ่งถ้าเลื่อนออกไปเป็น พ.ค.น่าจะมีความเหมาะสมกว่า
ทั้งนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ตของ CI นี้ บริษัทได้มอบหมายให้ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการ โดยเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะนำไปขยายการลงทุนธุรกิจโรงแรม ซึ่งเบื้องต้นมี 2 แนวทางคือ ซื้อกิจการจากเจ้าของเดิมหรือซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาเอง ในจ.ภูเก็ตหรือ จ.กระบี่ เพราะตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว ขณะที่ส่วนที่ 2 บริษัทมีแผนจะนำไปชำระหนี้บางส่วนที่มีอยู่
นับได้ว่า หากการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประสบความสำเร็จ จะเป็นกองทุนที่ 2 ของ บมจ.ชาญอิสระ เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทได้จัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์มาก่อนแล้ว 1 โครงการ นั่นคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอก ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีสินทรัพย์ประกอบด้วย 1. ห้องชุดสำนักงานและห้องชุดพาณิชยกรรม จำนวน 29 ยูนิต พื้นที่รวม 6,917.64 ตร.ม. ในอาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ ถ.พระราม 4 คิดเป็นร้อยละ 30.63 ของพื้นที่ห้องชุดสุทธิที่สามารถซื้อ-ขายหรือปล่อยให้เช่า (Net Area)
2.ห้องชุดสำนักงานและห้องชุดพาณิชยกรรม จำนวน 109 ยูนิต พื้นที่รวม 22,468.60 ต.ร.ม. ใน อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ คิดเป็นร้อยละ 38.36 ของพื้นที่ห้องชุดสุทธิที่สามารถซื้อ-ขายหรือปล่อยให้เช่า (Net Area) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เป็นผู้จัดการกองทุน และมีผู้ดูแลผลประโยชน์ คือ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเปิดทำการซื้อขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 -26 ตุลาคม 2546
ปัจจับบัน กองทุนดังกล่าว มีนโยบายพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ใน แต่ละรอบปีบัญชี โดยบริษัทจัดการมีสิทธิพิจารณาจ่ายเงินปันผลในแต่ละงวดได้ตามอัตราที่เหมาะสม โดยเมื่อ รวมกันแล้วจะจ่าย ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกําไรสุทธิ หรือในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกําไรสุทธิ หักด้วยกําไรหรือขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
โดย ณ วันที่ 30 พ.ย. 2552 กองทุนมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนที่ 11.9918 บาท/หน่วย ลดลง 0.1110 บาท และมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 1,199.185 ล้านบาท พร้อมทั้งตลอดปีที่ผ่านมา กองทุนมีการจ่ายปันผล รวม 4 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ 16 มี.ค. 2552 ในอัตราเงินปันผลต่อหน่วยลงทุนที่ 0.1800 บาท วันที่15มิ.ย.2552 ในอัตรา 0.1850 บาท วันที่ 17ก.ย.ในอัตรา 0.1650 บาท และเมใอวันที่ 17ธ.ค.ในอัตรา 0.1700 บาท
นายสงกรานต์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มการดำเนินงานชองบริษัทใน 2553 ว่า ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ประมาณ 15 -20% พร้อมกับจะมีการลงทุนในยโครงการใหม่ทั้งสิ้น 3 โครงการ ซึ่งเป็นโครางการบ้านเดี่ยว โดยใช้งบลงทุนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ บ้านชะอำ-หัวหิน โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท โครงการบ้านในกรุงเทพมหานคร โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท และโครงการบ้านภูเก็ตโดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาทเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถเปิดขายโครงการแรกได้ในช่วงประมาณเดือนเมษายน ปีนี้
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของบริษัทประเมินแนวโน้มการเติบโตทางรายได้ของบริษัทไว้ที่ประมาณ 5-7% จากปี 2552 เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะเติบโตได้ค่อนข้างมาก จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ส่งผลผู้บริโภคมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะซื้อที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับผลบวกจากยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Back log) ซึ่งยกมาจาก ปี 2552 ที่จะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาทด้วย
สำหรับโครงการที่ยังเหลือขายอยู่ของบริษัท มี 4 โครงการ ได้แก่ 1. ดิ อิสสระ ลาดพร้าว คอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท ขายไปได้แล้วกว่า 60% 2.บ้านชาญทะเล ชะอำบ้านพักตากอากาศ ราคาตั้งแต่ 3-60 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท มียอดขายแล้วกว่า 70% 3. ศรีพันวา จ.ภูเก็ต ที่กำลังจะพัฒนาในเฟสที่ 4 บนเนื้อที่ 15 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท และ4. อิสสระ แอท ฟอร์ตี้ทู สุขุมวิท คอนโดมิเนียมจำนวน 69 ยูนิต มูลค่า 460 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้ว กว่า 80%
โดยแผนงานในปี 2553 บริษัทกลับมามุ่งเน้นพัฒนาโครงการในแนวราบ โดยจะมีทั้งโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ จับตลาดระดับราคา 5-10 ล้านบาท เพราะเห็นว่าตลาดในระดับนี้ยังมีโอกาสทางการตลาดที่ทำได้ ซึ่งจะพัฒนาในกรุงเทพฯ ทางโซนทิศตะวันออก แถวพระราม 9 พัฒนาการ และสุวรรณภูมิ นอกจากนี้จะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรือรีสอร์ตในต่างจังหวัดอีก 1 โครงการ แต่คอนโดมิเนียมมีโอกาสจะทำน้อย เพราะการแข่งขันในปัจจุบันมีสูง อีกทั้งที่ดินยังหาซื้อได้ยากและมีราคาสูง โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า และการก่อสร้างโครงการก็มีความซับซ้อนยุ่งยาก มีความเสี่ยงจากขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงค่อนข้างมาก