รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)แจ้งว่า ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงินของธปท.ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นนักธุรกิจ สถาบันการเงิน และสมาคมธุรกิจในสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดว่าแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ผ่านการใช้จ่ายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจัเสี่ยงยังมีอยู่ทั้งปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตจากราคาน้ำมัน และความไม่แน่นอนการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการคาดว่าแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยผู้ประกอบการจะเร่งทำยอดขายในไตรมาสสุดท้ายของปี เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท รวมถึงจากการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งเร่งขยายสินเชื่อมากเป็นพิเศษช่วงปลายปีนี้
"ความเสี่ยงที่ห่วงเกิดอุปทานส่วนเกินยังมีน้อยในขณะนี้ เพราะปัจจัยด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้น และแม้แนวโน้มราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลกยังไม่ได้ส่งผลต่อต้นทุนรวมมากนัก เพราะต้นทุนราคาเหล็กมีสัดส่วนแค่ 3%ของต้นทุนทั้งหมด ขณะที่ราคาวัสดุตกแต่งภายในลดลงจากการแข่งขันสินค้าที่นำเข้าจากจีน ส่วนภาคสถาบันการเงินยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการ ด้านผู้ประกอบการเองมีความระมัดระวังในการขยายอุปทานใหม่โดยมีการทำวิจัยตลาด และไม่มีนโยบายซื้อที่ดินเก็บไว้เป็นระยะเวลานาน"
นอกจากนี้ ด้านการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจะปรับตัวดีขึ้น เพราะความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจสถาบันการเงินปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้หลายสาขาธุรกิจปรับตัวดีขึ้น แต่เชื่อว่าสภาพคล่องของสถาบันการเงินยังสูงอยู่
โดยการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้ฟื้นตัวกลับเข้ามาอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับการผลิตช่วงก่อนวิกฤตในไตรมาสที่ 3 ของปี 51 ตามเศรษฐกิจโลกและการเติบโตของสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยล่าสุดยอดสะสมช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีทั้งสิ้น 6.52 แสนล้านบาท ขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้ายอดสะสมอยุ่ที่ 3.86 แสนล้านบาท
ส่วนการผลิตและยอดจำหน่ายภายในประเทศของอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โปช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ทำให้สถาบันยานยนต์ได้ปรับประมาณการยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 5 หมื่นคัน เป็น 4.8 แสนคัน ส่วนตลาดส่งออกคาดว่า 5.1 แสนคัน
สำหรับปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมโยงต่อการลงทุนภาคเอกชน และจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องได้ ได้แก่ มาตรการและการลงทุนโครงการภาครัฐ นโยบายเร่งให้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ พร้อมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนการบริโภคจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และคาดว่าในทั้งปี 52 ธุรกิจค้าปลีกจะเติบโตได้ 4-5% และภาวะการจ้างงานที่จะได้รับผลดีจากงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง และการจัดกิจกรรมการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงปลายปี
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการคาดว่าแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยผู้ประกอบการจะเร่งทำยอดขายในไตรมาสสุดท้ายของปี เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท รวมถึงจากการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งเร่งขยายสินเชื่อมากเป็นพิเศษช่วงปลายปีนี้
"ความเสี่ยงที่ห่วงเกิดอุปทานส่วนเกินยังมีน้อยในขณะนี้ เพราะปัจจัยด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้น และแม้แนวโน้มราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลกยังไม่ได้ส่งผลต่อต้นทุนรวมมากนัก เพราะต้นทุนราคาเหล็กมีสัดส่วนแค่ 3%ของต้นทุนทั้งหมด ขณะที่ราคาวัสดุตกแต่งภายในลดลงจากการแข่งขันสินค้าที่นำเข้าจากจีน ส่วนภาคสถาบันการเงินยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการ ด้านผู้ประกอบการเองมีความระมัดระวังในการขยายอุปทานใหม่โดยมีการทำวิจัยตลาด และไม่มีนโยบายซื้อที่ดินเก็บไว้เป็นระยะเวลานาน"
นอกจากนี้ ด้านการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจะปรับตัวดีขึ้น เพราะความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจสถาบันการเงินปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้หลายสาขาธุรกิจปรับตัวดีขึ้น แต่เชื่อว่าสภาพคล่องของสถาบันการเงินยังสูงอยู่
โดยการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้ฟื้นตัวกลับเข้ามาอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับการผลิตช่วงก่อนวิกฤตในไตรมาสที่ 3 ของปี 51 ตามเศรษฐกิจโลกและการเติบโตของสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยล่าสุดยอดสะสมช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีทั้งสิ้น 6.52 แสนล้านบาท ขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้ายอดสะสมอยุ่ที่ 3.86 แสนล้านบาท
ส่วนการผลิตและยอดจำหน่ายภายในประเทศของอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โปช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ทำให้สถาบันยานยนต์ได้ปรับประมาณการยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 5 หมื่นคัน เป็น 4.8 แสนคัน ส่วนตลาดส่งออกคาดว่า 5.1 แสนคัน
สำหรับปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมโยงต่อการลงทุนภาคเอกชน และจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องได้ ได้แก่ มาตรการและการลงทุนโครงการภาครัฐ นโยบายเร่งให้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ พร้อมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนการบริโภคจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และคาดว่าในทั้งปี 52 ธุรกิจค้าปลีกจะเติบโตได้ 4-5% และภาวะการจ้างงานที่จะได้รับผลดีจากงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง และการจัดกิจกรรมการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงปลายปี
