ผู้ว่าการ ธปท.แจงสถานการณ์ตึงเครียด ไทย-เขมร ยังไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ ยันค่าเงินบาทขณะนี้แข็งในระดับที่เหมาะสม ส่วนข้อเสนอลดเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิต 20% ควรปล่อยไปตามกลไกตลาด หลังสัญญาณสินเชื่อ ดบ.ถูก กำลังเข้ามากินส่วนแบ่งในปีหน้า
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัญหาความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างไทย และกัมพูชา ยังไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะการค้าชายแดนยังดำเนินตามปกติ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไทยที่เปิดสาขาในประเทศกัมพูชา ก็ยังเปิดให้บริการตามปกติเช่นกัน ดังนั้น จึงยังไม่มีผลต่อธุรกิจ เพราะเป็นปัญหาทางการเมืองระดับรัฐบาล ไม่ใช่ปัญหาทางการค้า แต่ก็อยากให้สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ผู้ว่าการ ธปท.ยังกล่าวถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นว่า ตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4 ซึ่งอยู่ในอัตราใกล้เคียงกับเงินสกุลภูมิภาคเอเชียที่แข็งค่าขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3-4 เงินบาทของไทยอยู่ในลำดับกลางๆ ขณะที่เงินสกุลของบางประเทศ เช่น เงินวอน เกาหลีใต้ แข็งค่าขึ้นมากถึงร้อยละ 10-20 ซึ่
ทั้งนี้ ธปท. ยืนยันว่า เงินบาทในระดับปัจจุบันไม่ทำให้เสียความสามารถทางการแข่งขัน ยังสามารถแข่งขันด้านการส่งออกได้ สำหรับค่าเงินบาทในวันนี้ เคลื่อนไหวที่ระดับ 33.18 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนกรณีที่กระทรวงยุติธรรมต้องการให้ ธปท.ปรับลดเพดานของดอกเบี้ยบัตรเครดิต ซึ่งปัจจุบันเรียกเก็บดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมแล้วไม่เกิน 20% นั้น ธปท.พิจารณาดูภาพโดยรวมแล้วในขณะนี้ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ซึ่งการพิจารณาเรื่องดอกเบี้ยนั้นต้องดูทั้ง 2 ด้าน คือทั้งดีมานด์และซับพลาย หากดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่สูงไปก็เป็นการเอาเปรียบผู้ใช้สินเชื่อ หากดอกเบี้ยต่ำกว่าความเสี่ยงของลูกค้าก็ทำให้ผู้ปล่อยสินเชื่อไม่อยากปล่อย ดังนั้นต้องดูที่ความสมดุล
"สินเชื่อบัตรเครดิตตอนนี้ไม่มีอัตราการขยายตัวมาก ส่วนดอกเบี้ยที่20% ต้องดูดีมานด์กับซับพลาย ณ ขณะนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้ ทั้งสองฝ่ายรับได้ และเท่าที่ดูในขณะนี้ไม่มีอะไรผิดสังเกต แต่การเติบโตก็ยังชะลอตามภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่ผู้ใช้บริการเองก็ต้องระวังด้วย"
ส่วนกรณีของกระทรวงการคลังที่ต้องการให้หนี้นอกระบบเข้ามาสู่ในระบบนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จะมีแนวทางที่สำเร็จได้หรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การที่จะไปเอาเอกสารจากเจ้าหนี้นอกระบบมาได้นั้นทำได้ยาก