"อลงกรณ์" กำชับทูตพาณิชย์รายงานสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา อย่างใกล้ชิด "ผู้ว่าแบงก์ชาติ" ยันไม่กระทบความเชื่อมั่นการลงทุน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลเท่านั้น ในส่วนของภาคประชาชนยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขณะที่แบงก์ไทยพาณิชย์ในพนมเปญ เตรียมพรอมแผนรองรับ เน้นความปลอดภัยพนักงาน ยันไม่พบการถอนเงินผิดปรกติ
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในระหว่างการประชุมร่วมกับพาณิชย์จังหวัด บริเวณชายแดนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยระบุว่า การค้าขายชายแดนยังปกติ และวันพรุ่งนี้จะนำคณะตรวจสอบบริเวณการค้าชายแดน จ.สระแก้ว พร้อมกำชับให้ทูตพาณิชย์บริเวณชายแดนรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และตามธรรมเนียมปฏิบัติแม้การเมืองระหว่างประเทศจะรุนแรง แต่ไม่ถึงขั้นเรียกทูตพาณิชย์กลับ จึงไม่อยากให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศตกใจเกินไป เพราะเชื่อว่าปัญหาจะสามารถทำความเข้าใจกันได้
สำหรับการค้าระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2551 มีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท ร้อยละ 80 เป็นมูลค่าการค้าบริเวณชายแดน ส่วน 9 เดือนแรกของปีนี้ ไทยส่งออกไปกัมพูชา 1,183 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 29.78
**ไม่กระทบความเชื่อมั่นการลงทุน
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มองสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ที่กำลังเกิดความตึงเครียด ซึ่งหลายฝ่ายห่วงผลกระทบทางการลงทุนของนักลงทุนที่ไปลงทุนในประเทศกัมพูชานั้น ธปท.ประเมินว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนัก เพราะเป็นเรื่องที่ทั้ง 2 ประเทศ ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกันมายาวนานแล้ว และปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลเท่านั้น ในส่วนของภาคประชาชนยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
สำหรับเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว มีการลงทุนของภาครัฐหลายด้าน มีการทำนโยบายที่รวดเร็วประกอบกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็ง ทำให้สามารถเห็นเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 มีการฟื้นตัวได้และต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 3 และทำให้มีการเติบโตถึงร้อยละ 2.3
จากข้อมูลไตรมาส 2-3 ทำให้คาดได้ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีอย่างต่อเนื่องได้ ซึ่งจะเห็นได้จากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกบ้างแล้ว มีการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่ม แม้ว่ายังเปราะบางอยู่ก็ตาม แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดี ในขณะที่การบริโภคก็มีทิศทางที่ดีเช่นกัน ทั้งหมดนี้มีแรงขับเคลื่อนมาจากการที่รัฐบาลได้กระตุ้นการลงทุน ซึ่งเราก็ต้องติดตามว่าเอกชนจะเป็นผู้เข้ามารับไม้ได้มากน้อยแค่ไหน และก็ต้องขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหนอีกด้วย
**เอกชนมอง ยังไม่น่ากลัว แต่ก็ไม่ประมาท
นายนะเพ็งพาแสง กฤษณามระ รองผู้จัดการใหญ่ สายบริหารการขายและบริการ ในฐานะประธานกรรมการ ธนาคารกัมพูชาพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารที่ธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้น 100% ในประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา ยังไม่เห็นมีสัญญาณของการเบิกถอนเงินสดในวงเงินสูงๆ ดังนั้นยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง การดำเนินธุรกรรมยังเป็นไปตามปกติ แต่ธนาคารก็มีแผนฉุกเฉินรองรับเอาไว้แล้วหากเกิดกรณีฉุกเฉิน จะได้สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที
โดยทางผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการธนาคารให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงานเป็นอันดับแรก ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีพนักงานที่เป็นคนไทยทำงานที่กัมพูชาด้วยกันประมาณ 11 คน มีพนักงานที่เป็นคนกัมพูชาทำงานด้วยกว่า 60 คน โดยประจำอยู่ทั้งหมด 4 สาขา ธนาคารมีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 12 ปี ปัจจุบันถึงจุดคุ้มทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เราได้มีมาตรการต่าง ๆ รองรับเอาไว้แล้ว หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินก็นำมาใช้ได้เลย เช่น วิธีการเคลื่อนย้ายพนักงานต้องดำเนินการอย่างไร ด้วยวิธีไหน เราเตรียมแผนรองรับเอาไว้หมดแล้ว”
นายนะเพ็งพาแสง กล่าวว่า ลูกค้าของธนาคารส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ไปลงทุนในกัมพูชาประมาณร้อยละ 60-70 ที่เหลือเป็นลูกค้าที่เป็นคนกัมพูชา สินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อธุรกิจ ปัจจุบันธนาคารมีส่วนแบ่งการครองตลาดในกัมพูชาประมาณร้อยละ10
“ตอนนี้หากให้ประเมินสถานการณ์ คาดว่าภาคเอกชนไทยที่ไปลงทุนในกัมพูชาจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้แน่นอน หวังว่าเหตุการณ์นี้จะผ่านพ้นไปด้วยดี และกลับมาสู่ภาวะปกติได้เหมือนเดิม” นายนะเพ็งพาแสง กล่าวสรุปทิ้งท้าย