บล.ทรีนีตี้ ประเมินไตรมาส 4 เม็ดเงินต่างชาติมีโอกาสไหลออก ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วง 100 จุด จากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และราคาน้ำมันหลุด60 เหรียญ ก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งในช่วงปลายปีจากแจนยัวรี่แอฟเฟค มายืนที่ 700 จุด แนะรายย่อยซื้อสะสมล่วงหน้าเพื่อขายทำกำไร ส่วนหุ้นวานนี้(7ต.ค.)บวกอีก 10 จุดตามตลาดต่างประเทศ ที่มีแรงคาดหวังเศรษฐกิจฟื้นตัว และกระแสเม็ดเงินนอกทะลักเข้า ด้านทองคำไม่น้อยหน้ารุดสร้างสถิติใหม่ 1,048 เหรียญ/ออนซ์ ดันทองรูปพรรณใกล้แตะ 17,000 บาท
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงต้นไตรมาส4/52 ไปแตะที่ระดับ 744-760 จุด จากค่าเงินดอลลาร์ที่ยังอ่อนค่า ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่จากการที่รัฐบาลสหรัฐมีการแถลงว่าจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นนั้น ทำให้คาดว่าค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นในช่วง 2 เดือนจากนี้ ส่วนราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงสั้น 1-2 เดือนข้างหน้า จากความต้องการใช้น้ำมันในช่วงไตรมาส4/52 ลดลง เพราะไม่ใช่ฤดูการผลิตเต็มที่ของภาคอุตสาหกรรม และเป็นช่วงการขับขี่รถยนต์น้อยลง
ทั้งนี้จากปัจจัยต่างๆ จะทำให้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำอยู่ที่ 666-686 จุดในช่วงตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ และหลังจากนั้นดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งจากเกิดJanuary Effect ทำให้ดัชนีในช่วงสิ้นปีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 700 จุดได้ และบริษัทคาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส4/52จะกลับมาเป็นบวกได้ ซึ่งคาดว่าปีนี้จีดีพีจะติดลบอยู่ที่ 3.9%
“ในช่วงสั้นหุ้นจะปรับตัวลดลง 100 จุด จากจุดสูงสุด เพราะค่าเงินดอลล่าร์แข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง แต่หุ้นจะลงเพียง 2 เดือน จากนั้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้สิ้นปีนี้ดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 700 จุดได้ บวกลบ 10 จุด ”นางวชิราลักษณ์กล่าว
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้า บริษัทคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้คาดว่าดัชนีปี2553 จะอยู่ที่ระดับ 660-820 จุด แต่จะมีการปรับตัวลดลงบ้างหลังจากเกิด January Effect และจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นในช่วงที่หุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่า 700 จุด เพื่อรอการขายเมื่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง January Effect หรือ ถือให้ยาวข้ามปี
ดังนั้น บริษัทแนะนำให้ลงทุนในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้)โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน คือ ปิโตรเคมี พลังงาน เดินเรือ และสินค้าที่อนาคตจะมีความต้องการใช้สูงคือ อะโรเมติกส์ โดยเฉพาะพาราไซลีน ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ จากความต้องการของพาราไซลีนในโลก 70% อยู่ที่ประเทศจีน และจากการที่มีกรณีมาบตาพุดในเรื่องการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน จะกลายเป็นต้นทุนการผลิตที่สูงมากของผู้ประกอบการใหม่ โดยในอนาคตบริษัทเชื่อว่าสินค้าคอมมอนิตี้จะเข้าสู่ภาวะขาดแคลน ทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกไม่ถึง 1 ปีข้างหน้า และราคาน้ำมันจะสูงถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้บริษัทคาดปริมาณกำลังการผลิตพาราไซลีนใหม่จะเข้าสูงตลาดโลกเป็นล็อตสุดท้ายในช่วงไตรมาส4/52 อีก 1.6 ล้านตันจากตะวันออกกลาง หลังจากนั้นจะไม่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามานานถึง 11 เดือน และจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาในไตรมาส4/53 อีก 8.2 แสนตัน โดยคาดว่าจะเห็นหลังจากที่คดีมาบตาพุดคลี่คลายลงแล้ว ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-9 เดือนนี้ และคาดว่าโรงงานจะเริ่มผลิตสินค้าได้
สำหรับนักลงทุนจะลงทุนในหุ้นคอมมอนิตี้ หุ้นที่น่าสนใจคือ บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR จากที่ไม่ได้มีการลงทุนอยู่ใน 76 โครงการมาบตาพุด และมีกำไรต่อเนื่องแม้จะที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบดังกล่าวไปแล้วทำให้ต้องมีการจ่ายถึง 800 ล้านบาท แต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากจากที่PTTAR มีกำไรระดับ หมื่นล้านบาท โดยหุ้นที่บริษัทแนะนำลงทุน คือ ADVANC, DTAC TRUE ,SCIB ,TCAP ,PTTEP, PTTAR ,TSTH, QH ,CK, CPF
หุ้นวานนี้ยังบวกต่ออีก10จุด
ส่วนความเคลื่อนไหวหุ้นไทยวานนี้ (7ต.ค.) ปิดที่ระดับ 741.92 จุด เพิ่มขึ้น 10.53 จุด หรือ +1.44% มูลค่าการซื้อขาย 33,994 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ3,298.06 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ซื้อสุทธิ 896.91 ล้านบาท
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาด บล.ธนชาต จำกัด ให้ความเห็นว่า แม้มีการ take profit ออกมาบ้าง แต่เป็นการแกว่งตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลกท่ามกลางความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อีกทั้ง fund flow ของต่างประเทศก็ยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่อง และยังพุ่งเป้าไปที่หุ้นใหญ่ในกลุ่มธนาคาร พลังงาน จึงมีผลทำให้ตลาดโดยรวมของไทยวานนี้ก็ยืนอยู่ในแดนบวกตลอด
ขณะที่วันนี้(8ต.ค.) คาดว่าดัชนียังเหวี่ยงตัวในลักษณะ sideway ซึ่งแกว่งขึ้นอยู่รอบนี้อาจจะไปจบแถว 755-760 จุด แล้วค่อยมีการพักฐานรอบใหญ่รอบหนึ่ง ปัจจัยที่ต้องจับตาคืนนี้(7ต.ค.)ที่จะกระทบกับfund flow มากที่สุดคือเรื่องของมาบตาพุดที่ยังเป็นประเด็นที่ยังจะต้องติดตาม ส่วนกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดรับคำร้องอุทธรณ์กรณีชะลอ 76 โครงการในมาบตาพุดแล้ว ยังต้องรอดูอีกพักใหญ่
ทองคำพุ่งสร้างสถิติใหม่
ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า วานนี้ราคาทองคำในตลาดโลกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยซื้อขายกันที่ 1,045 เหรียญ/ออนซ์ ทำให้ราคาขายทองคำในประเทศปรับเพิ่มขึ้น 250 – 300 บาทโดยราคาขาย วานนี้ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 16,350 บาท ขายบาทละ 16,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 16,115 บาท และขายบาทละ 16,850 บาท แต่ช่วงเวลา 19.00 น.ราคาได้ทำสถิติใหม่อีกครั้งที่ตลาดลอนดอน ในราคา 1,048.34 เหรียญ/ออนซ์
ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากการเก็งกำไรในตลาดทองคำจากนักลงทุนเก็งกำไร หลังจากที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ประกอบกับนักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปจะมีปัญหา ปะทุออกมาอีกหรือไม่ ทำให้หันมาถือครองทองคำซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีความมั่นคงมากที่สุด โดยประเมินว่าราคาทองคำในตลาดโลกอาจจะแตะระดับ 1,060 เหรียญ/ออนซ์ ส่วนจะปรับขึ้นถึง 1,100 เหรียญ/ออนซ์หรือไม่ ต้องรอประเมินปฏิกิริยาของตลาดเอเชีย ในช่วง1-2 วันนี้ก่อน
นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงต้นไตรมาส4/52 ไปแตะที่ระดับ 744-760 จุด จากค่าเงินดอลลาร์ที่ยังอ่อนค่า ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่จากการที่รัฐบาลสหรัฐมีการแถลงว่าจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นนั้น ทำให้คาดว่าค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นในช่วง 2 เดือนจากนี้ ส่วนราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงสั้น 1-2 เดือนข้างหน้า จากความต้องการใช้น้ำมันในช่วงไตรมาส4/52 ลดลง เพราะไม่ใช่ฤดูการผลิตเต็มที่ของภาคอุตสาหกรรม และเป็นช่วงการขับขี่รถยนต์น้อยลง
ทั้งนี้จากปัจจัยต่างๆ จะทำให้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำอยู่ที่ 666-686 จุดในช่วงตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ และหลังจากนั้นดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งจากเกิดJanuary Effect ทำให้ดัชนีในช่วงสิ้นปีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 700 จุดได้ และบริษัทคาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส4/52จะกลับมาเป็นบวกได้ ซึ่งคาดว่าปีนี้จีดีพีจะติดลบอยู่ที่ 3.9%
“ในช่วงสั้นหุ้นจะปรับตัวลดลง 100 จุด จากจุดสูงสุด เพราะค่าเงินดอลล่าร์แข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง แต่หุ้นจะลงเพียง 2 เดือน จากนั้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้สิ้นปีนี้ดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 700 จุดได้ บวกลบ 10 จุด ”นางวชิราลักษณ์กล่าว
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้า บริษัทคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้คาดว่าดัชนีปี2553 จะอยู่ที่ระดับ 660-820 จุด แต่จะมีการปรับตัวลดลงบ้างหลังจากเกิด January Effect และจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นในช่วงที่หุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่า 700 จุด เพื่อรอการขายเมื่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง January Effect หรือ ถือให้ยาวข้ามปี
ดังนั้น บริษัทแนะนำให้ลงทุนในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้)โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน คือ ปิโตรเคมี พลังงาน เดินเรือ และสินค้าที่อนาคตจะมีความต้องการใช้สูงคือ อะโรเมติกส์ โดยเฉพาะพาราไซลีน ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ จากความต้องการของพาราไซลีนในโลก 70% อยู่ที่ประเทศจีน และจากการที่มีกรณีมาบตาพุดในเรื่องการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน จะกลายเป็นต้นทุนการผลิตที่สูงมากของผู้ประกอบการใหม่ โดยในอนาคตบริษัทเชื่อว่าสินค้าคอมมอนิตี้จะเข้าสู่ภาวะขาดแคลน ทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกไม่ถึง 1 ปีข้างหน้า และราคาน้ำมันจะสูงถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้บริษัทคาดปริมาณกำลังการผลิตพาราไซลีนใหม่จะเข้าสูงตลาดโลกเป็นล็อตสุดท้ายในช่วงไตรมาส4/52 อีก 1.6 ล้านตันจากตะวันออกกลาง หลังจากนั้นจะไม่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามานานถึง 11 เดือน และจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาในไตรมาส4/53 อีก 8.2 แสนตัน โดยคาดว่าจะเห็นหลังจากที่คดีมาบตาพุดคลี่คลายลงแล้ว ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-9 เดือนนี้ และคาดว่าโรงงานจะเริ่มผลิตสินค้าได้
สำหรับนักลงทุนจะลงทุนในหุ้นคอมมอนิตี้ หุ้นที่น่าสนใจคือ บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR จากที่ไม่ได้มีการลงทุนอยู่ใน 76 โครงการมาบตาพุด และมีกำไรต่อเนื่องแม้จะที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบดังกล่าวไปแล้วทำให้ต้องมีการจ่ายถึง 800 ล้านบาท แต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากจากที่PTTAR มีกำไรระดับ หมื่นล้านบาท โดยหุ้นที่บริษัทแนะนำลงทุน คือ ADVANC, DTAC TRUE ,SCIB ,TCAP ,PTTEP, PTTAR ,TSTH, QH ,CK, CPF
หุ้นวานนี้ยังบวกต่ออีก10จุด
ส่วนความเคลื่อนไหวหุ้นไทยวานนี้ (7ต.ค.) ปิดที่ระดับ 741.92 จุด เพิ่มขึ้น 10.53 จุด หรือ +1.44% มูลค่าการซื้อขาย 33,994 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ3,298.06 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ซื้อสุทธิ 896.91 ล้านบาท
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาด บล.ธนชาต จำกัด ให้ความเห็นว่า แม้มีการ take profit ออกมาบ้าง แต่เป็นการแกว่งตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลกท่ามกลางความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อีกทั้ง fund flow ของต่างประเทศก็ยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่อง และยังพุ่งเป้าไปที่หุ้นใหญ่ในกลุ่มธนาคาร พลังงาน จึงมีผลทำให้ตลาดโดยรวมของไทยวานนี้ก็ยืนอยู่ในแดนบวกตลอด
ขณะที่วันนี้(8ต.ค.) คาดว่าดัชนียังเหวี่ยงตัวในลักษณะ sideway ซึ่งแกว่งขึ้นอยู่รอบนี้อาจจะไปจบแถว 755-760 จุด แล้วค่อยมีการพักฐานรอบใหญ่รอบหนึ่ง ปัจจัยที่ต้องจับตาคืนนี้(7ต.ค.)ที่จะกระทบกับfund flow มากที่สุดคือเรื่องของมาบตาพุดที่ยังเป็นประเด็นที่ยังจะต้องติดตาม ส่วนกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดรับคำร้องอุทธรณ์กรณีชะลอ 76 โครงการในมาบตาพุดแล้ว ยังต้องรอดูอีกพักใหญ่
ทองคำพุ่งสร้างสถิติใหม่
ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า วานนี้ราคาทองคำในตลาดโลกทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยซื้อขายกันที่ 1,045 เหรียญ/ออนซ์ ทำให้ราคาขายทองคำในประเทศปรับเพิ่มขึ้น 250 – 300 บาทโดยราคาขาย วานนี้ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 16,350 บาท ขายบาทละ 16,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 16,115 บาท และขายบาทละ 16,850 บาท แต่ช่วงเวลา 19.00 น.ราคาได้ทำสถิติใหม่อีกครั้งที่ตลาดลอนดอน ในราคา 1,048.34 เหรียญ/ออนซ์
ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากการเก็งกำไรในตลาดทองคำจากนักลงทุนเก็งกำไร หลังจากที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ประกอบกับนักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปจะมีปัญหา ปะทุออกมาอีกหรือไม่ ทำให้หันมาถือครองทองคำซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีความมั่นคงมากที่สุด โดยประเมินว่าราคาทองคำในตลาดโลกอาจจะแตะระดับ 1,060 เหรียญ/ออนซ์ ส่วนจะปรับขึ้นถึง 1,100 เหรียญ/ออนซ์หรือไม่ ต้องรอประเมินปฏิกิริยาของตลาดเอเชีย ในช่วง1-2 วันนี้ก่อน