บลิส-เทล ปรับโครงสร้างหนี้กับแบงก์ไทยพาณิชย์ ยอมโอนห้องชุดโครงการอาคารชุดอังเกตุ ที่พัทยา จำนวน 116 ห้องและชำระเงินสด 12.93 ล้านบาท หลังแบงก์ยอมผ่อนปรนการชำระหนี้วงเงินที่มีเกือบ138 ล้านบาท หากชำระครบจะได้ลดหนี้ยอดคงค้างที่เหลือพร้อมถอนฟ้อง
นายอรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) ( BLISS ) แจ้งว่าตามที่บริษัทได้ถูกธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(ธนาคาร) ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและเงินเบิกเกินบัญชี ตามสำนวนคดีหมายเลขดำที่ ผบ.2146/2552 โดยอยู่ในระหว่างการนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 19 ตุลาคม 2552 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้บริหารได้เจรจาขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 บริษัทได้ลงนามในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารซึ่งธนาคารได้ตกลงยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่บริษัท โดย ณ วันที่ 29 กันยายน 2552 บริษัทมียอดหนี้ค้างชำระกับธนาคารรวมเป็นเงินทั้งสิ้น137,740,076.07 บาท (ต้นเงินค้างชำระ121,696,615.26 บาท และดอกเบี้ยจำนวน 16,043,460.81 บาท) ซึ่งในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้มีเงื่อนไขในการชำระหนี้ทั้งหมดกับธนาคารดังนี้
1. บริษัทต้องโอนห้องชุดของโครงการอาคารชุดอังเกตุ พัทยา จำนวน 116 ห้อง 2. บริษัทจะต้องชำระเงินสด จำนวน 12,930,000 บาท
อนึ่ง หากบริษัทได้ดำเนินการชำระหนี้ตามข้อ 1 และข้อ 2 แล้ว ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน สัญญานี้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ธนาคารตกลงที่จะลดหนี้ตามยอดหนี้คงค้างที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้แก่บริษัท และขอถอนฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ผบ.2146/2552 ของศาลแพ่ง ดังกล่าวข้างต้นจากศาลต่อไป
นายอรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) ( BLISS ) แจ้งว่าตามที่บริษัทได้ถูกธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(ธนาคาร) ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและเงินเบิกเกินบัญชี ตามสำนวนคดีหมายเลขดำที่ ผบ.2146/2552 โดยอยู่ในระหว่างการนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 19 ตุลาคม 2552 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้บริหารได้เจรจาขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 บริษัทได้ลงนามในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับธนาคารซึ่งธนาคารได้ตกลงยินยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ให้แก่บริษัท โดย ณ วันที่ 29 กันยายน 2552 บริษัทมียอดหนี้ค้างชำระกับธนาคารรวมเป็นเงินทั้งสิ้น137,740,076.07 บาท (ต้นเงินค้างชำระ121,696,615.26 บาท และดอกเบี้ยจำนวน 16,043,460.81 บาท) ซึ่งในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้มีเงื่อนไขในการชำระหนี้ทั้งหมดกับธนาคารดังนี้
1. บริษัทต้องโอนห้องชุดของโครงการอาคารชุดอังเกตุ พัทยา จำนวน 116 ห้อง 2. บริษัทจะต้องชำระเงินสด จำนวน 12,930,000 บาท
อนึ่ง หากบริษัทได้ดำเนินการชำระหนี้ตามข้อ 1 และข้อ 2 แล้ว ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน สัญญานี้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ธนาคารตกลงที่จะลดหนี้ตามยอดหนี้คงค้างที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้แก่บริษัท และขอถอนฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ผบ.2146/2552 ของศาลแพ่ง ดังกล่าวข้างต้นจากศาลต่อไป
