สภาที่ปรึกษาฯ เปิดเวทีเสวนาระดมสมองแก้วิกฤตพลังงานในอนาคต แนะถึงเวลาไทยต้องปรับบทบาทจากผู้บริโภคพลังงานไปเป็นผู้ผลิต โดยกระตุ้นภาครัฐเร่งใช้นโยบายส่วเสริมให้ชุมชนปลูกพืชเพื่อผลิตพลังงานทดแทน ชี้ รัฐบาลต้องส่งสัญญาณให้ชัดเจน เพื่อให้ชุมชนเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวมวล พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ลงทุนไม่มาก แต่สามารถนำมาปรับใช้ในแหล่งชุมชนเพื่อลดค่าใช้จ่ายได้ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลก่อสร้างโรงไฟฟ้า
นายโอกาส เตพละกุล ประธานคณะทำงานโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และพลังงาน สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในการเสวนาเวทีสาธารณะเรื่อง การสร้างรายได้ สร้างอนาคต จากพลังงานทดแทน โดยระบุว่า ขณะนี้มีการประเมินว่าน้ำมันดิบจะเหลือใช้ได้อีกประมาณ 40 ปี ก๊าซธรรมชาติเหลือ 60 ปี ถ่านหิน 120 ปี ทั้งนี้แต่ละปีไทยมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ จำนวนมาก
ดังนั้น ในอนาคตอาจจะเกิดวิกฤตพลังงาน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ประเทศไทยต้องปรับบทบาทและหันไปใช้พลังงานทดแทน ทั้งไฟฟ้า พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งไทยสามารถดำเนินการได้เอง
ทั้งนี้ สภาที่ปรึกษาฯ มองว่า การใช้พลังงานทดแทนดังกล่าว รัฐบาลต้องส่งสัญญาณให้ชัดเจน เพื่อให้ชุมชนเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวมวล พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ลงทุนไม่มาก แต่สามารถนำมาปรับใช้ในแหล่งชุมชนเพื่อลดค่าใช้จ่ายได้ และเชื่อว่าชุมชนทั่วประเทศหากสามารถเป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทนได้ประมาณ 100 เมกะวัตต์ ก็จะสามารถใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีก เพราะหากเปรียบเทียบการใช้พลังงานทดแทน มีการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณเพียงเล็กน้อย ขณะที่การสร้างโรงไฟฟ้าต้องใช้งบประมาณนับพันล้านบาท
“การจัดเวทีวันนี้เพื่อรวบรวมข้อมูลเสนอต่อรัฐบาล อีกทั้งยังสามารถลดภาวะโลกร้อนได้ และทุกฝ่ายจะต้องหันมาร่วมกันใช้พลังทดแทนร่วมกันต่อไป” นายโอกาส กล่าวสรุป
