นักวิชาการ-โบรกเกอร์ มั่นใจ ศก.ไทยพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ปชช.กล้าใช้จ่ายมากขึ้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหนุน ศก.ไทยฟื้นตัวได้ช่วงปลายปี และเห็นได้ชัดเจนในปี 53 พร้อมแสดงความกังวลการเมืองไม่นิ่ง อาจฉุด ศก.ฟื้นได้แบบตัว “ยู” ระบุ โครงการไทยเข้มแข็งถือเป็นตัวจักรสำคัญ หากคลอดเม็ดเงิน 2 แสนล้าน ทันเดือน ก.ย.มีสิทธิเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันตาเห็นแน่
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงานเสวนา “เจาะลึกตลาดหุ้นร้อน (แรง) สร้างโอกาสมั่งคั่งกับหุ้นไทย โดยระบุว่า จากสัญญาณทางเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นในขณะนี้ จึงมองว่าเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศเริ่มกลับเข้ามา เพราะประชาชนกล้าในการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการพัฒนาด้านคมนาคม การปรับปรุงถนน และรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นการใช้จ่ายเงินในปี 2552 ประมาณ 115,000 ล้านบาท บวกกับเงินกู้อีก 8 แสนล้านบาท ทำให้เงินไหลเข้าระบบเศรษฐกิจมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในปลายปีนี้ และมีความชัดเจนขึ้นในปี 2553
สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีปรับตัวขึ้นน้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ขณะที่มูลค่าและการเติบโตของอัตราการทำกำไรต่อหุ้น มีความน่าสนใจกว่าหลายประเทศ จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับขึ้นแรงมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาสสองของปี 2552 ส่วนใหญ่ออกมาค่อนข้างดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร พลังงาน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มองว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดไปแล้วเช่นกัน แต่คงไม่ฟื้นตัวเป็นรูปตัว V เหมือนกับที่นายกรัฐมนตรีคาดการณ์ไว้ เพราะมองว่า อาจเป็นการฟื้นตัวแบบรูปตัว U เพราะปัญหาการเมืองในประเทศไทยยังไม่นิ่ง ทำให้นักลงทุน นักท่องเที่ยวมีความกังวล และความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศ
ทั้งนี้ นายธนวรรธน์ มองว่า โครงการลงทุนไทยเข้มแข็งจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอย่างมาก เพราะหากโครงการลงทุนได้ลงนามประมูลงาน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 นี้ เป็นต้นไป เงินจะออกสู่ระบบได้ถึง 2 แสนล้านบาท แม้จะมีการเปลี่ยนทางรัฐบาลเงินลงทุนดังกล่าวก็จะสร้างงานต่อไป เพราะได้มีการเซ็นสัญญาไว้แล้ว
