รัฐบาลแจงผลสำเร็จประชุม รมต.เศรษฐกิจอาเซียน เริ่มใช้ความตกลงการค้าสินค้าให้ได้ภายใน ต.ค.นี้ ทั้งการลดภาษีระหว่างกันของประเทศสมาชิก มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การอำนวยความสะดวกทางการค้า กฎทางศุลกากร ซึ่งจะทำให้การค้าสินค้าของอาเซียนมีกฎเกณฑ์ที่รัดกุม โปร่งใส และเป็นธรรม
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการร่วมประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจอาเซียนเกี่ยวกับการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการของเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) โดยระบุว่า ที่ประชุมได้ตกลงให้เริ่มใช้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) อย่างช้าที่สุดในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนเดือนตุลาคม 2552 นี้
ความตกลงฉบับใหม่ ประกอบด้วย การลดภาษีระหว่างกันของประเทศสมาชิก มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การอำนวยความสะดวกทางการค้า กฎทางศุลกากร ซึ่งจะทำให้การค้าสินค้าของอาเซียนมีกฎเกณฑ์ที่รัดกุม โปร่งใส และเป็นธรรม นอกจากนี้ อาเซียนได้ตกลงที่จะดำเนินมาตรการที่เป็นประโยชน์กับการค้า เช่น การจัดตั้งแหล่งข้อมูลทางการค้าของอาเซียน (ASEAN Trade Repository : ATR) โดยจะเป็นการนำข้อมูลมาตรการเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าของประเทศสมาชิก ทั้งอัตราภาษีศุลกากร และมาตรการที่มิใช่ภาษีอื่นๆ ลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ เพื่อให้สะดวกต่อภาคเอกชนและบุคคลทั่วไป ในการค้นหาข้อมูลมาตรการทางการค้าของประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งไทยสนับสนุนให้หาข้อสรุปเรื่องรูปแบบของ ATR ให้แล้วเสร็จภายในปีหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ส่วนการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Joint Committee on Trade Facilitation) คณะกรรมการชุดดังกล่าวประกอบด้วยผู้แทนด้านการค้า ศุลกากรและมาตรการที่มิใช่ภาษี โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมเป็นผู้แทนด้วย ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่ภาคเอกชนและภาครัฐของประเทศสมาชิกจะได้หารือกันอย่างใกล้ชิด และได้มีการจัดทำกรอบดำเนินการอำนวยความสะดวกทางการค้าขึ้น เพื่อให้การเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างกันของอาเซียนมีอุปสรรคทางการค้าน้อยที่สุด
ส่วนการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self Certification) ปัจจุบันการส่งออกโดยใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ AFTA ไปประเทศอาเซียนอื่น ผู้ส่งออกจะต้องขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิสูจน์ว่า สินค้าดังกล่าวมีถิ่นกำเนิดในไทย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างเสรี สมาชิกอาเซียนจึงตกลงให้ผู้ส่งออกมีการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self Certification) โดยผู้ส่งออกสามารถส่งสินค้าไปยังประเทศอาเซียนอื่น โดยมิต้องขอใบรับรองอีกต่อไป ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในวานนี้ (14 สิงหาคม 2552) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได่นำคณะรัฐมนตรีและคู่สมรสที่เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน เยี่ยมชมงาน “ศิลป์แผ่นดิน” ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เกี่ยวกับผลงานของศิลปาชีพ ซึ่งนำมาจัดแสดงไว้ เช่น บุษบกจตุรมุขพิมาน บุษบกเรือนยอด จำหลักไม้ออกมุขเป็นเรือนยอดบุษบกเล็กออกไปทั้ง 4 ทิศ ประดิษฐานพระบรมราชสัญลักษณ์และพระราชลัญจกรทั้ง 9 พระองค์ เรือพระที่นั่งจำลองศรีสุพรรณหงส์ สีวิกากาญจน์ พระที่นั่งพุดตานถมทอง สร้างด้วยเงินลงถมตะทอง ม้านิลมังกรเป็นม้านิลมังกรจำหลักไม้ ประดับเกล็ดด้วยนิล ขอบเกล็ดเหลี่ยมเพชร
ทั้งนี้ เพื่อให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้เห็นผลงาน และชื่นชมในพระปรีชาสามารถและพระวิสัยทัศน์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงสนับสนุนผลงานศิลปาชีพ ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ เตรียมสนองพระราชดำริในการสนับสนุนส่งเสริมงานช่างฝีมือไทยให้แพร่หลาย ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล รวมถึงการสนับสนุนการต่อยอดของเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการร่วมประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจอาเซียนเกี่ยวกับการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการของเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) โดยระบุว่า ที่ประชุมได้ตกลงให้เริ่มใช้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) อย่างช้าที่สุดในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนเดือนตุลาคม 2552 นี้
ความตกลงฉบับใหม่ ประกอบด้วย การลดภาษีระหว่างกันของประเทศสมาชิก มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การอำนวยความสะดวกทางการค้า กฎทางศุลกากร ซึ่งจะทำให้การค้าสินค้าของอาเซียนมีกฎเกณฑ์ที่รัดกุม โปร่งใส และเป็นธรรม นอกจากนี้ อาเซียนได้ตกลงที่จะดำเนินมาตรการที่เป็นประโยชน์กับการค้า เช่น การจัดตั้งแหล่งข้อมูลทางการค้าของอาเซียน (ASEAN Trade Repository : ATR) โดยจะเป็นการนำข้อมูลมาตรการเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าของประเทศสมาชิก ทั้งอัตราภาษีศุลกากร และมาตรการที่มิใช่ภาษีอื่นๆ ลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ เพื่อให้สะดวกต่อภาคเอกชนและบุคคลทั่วไป ในการค้นหาข้อมูลมาตรการทางการค้าของประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งไทยสนับสนุนให้หาข้อสรุปเรื่องรูปแบบของ ATR ให้แล้วเสร็จภายในปีหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ส่วนการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Joint Committee on Trade Facilitation) คณะกรรมการชุดดังกล่าวประกอบด้วยผู้แทนด้านการค้า ศุลกากรและมาตรการที่มิใช่ภาษี โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมเป็นผู้แทนด้วย ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่ภาคเอกชนและภาครัฐของประเทศสมาชิกจะได้หารือกันอย่างใกล้ชิด และได้มีการจัดทำกรอบดำเนินการอำนวยความสะดวกทางการค้าขึ้น เพื่อให้การเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างกันของอาเซียนมีอุปสรรคทางการค้าน้อยที่สุด
ส่วนการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self Certification) ปัจจุบันการส่งออกโดยใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ AFTA ไปประเทศอาเซียนอื่น ผู้ส่งออกจะต้องขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิสูจน์ว่า สินค้าดังกล่าวมีถิ่นกำเนิดในไทย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างเสรี สมาชิกอาเซียนจึงตกลงให้ผู้ส่งออกมีการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self Certification) โดยผู้ส่งออกสามารถส่งสินค้าไปยังประเทศอาเซียนอื่น โดยมิต้องขอใบรับรองอีกต่อไป ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในวานนี้ (14 สิงหาคม 2552) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได่นำคณะรัฐมนตรีและคู่สมรสที่เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน เยี่ยมชมงาน “ศิลป์แผ่นดิน” ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เกี่ยวกับผลงานของศิลปาชีพ ซึ่งนำมาจัดแสดงไว้ เช่น บุษบกจตุรมุขพิมาน บุษบกเรือนยอด จำหลักไม้ออกมุขเป็นเรือนยอดบุษบกเล็กออกไปทั้ง 4 ทิศ ประดิษฐานพระบรมราชสัญลักษณ์และพระราชลัญจกรทั้ง 9 พระองค์ เรือพระที่นั่งจำลองศรีสุพรรณหงส์ สีวิกากาญจน์ พระที่นั่งพุดตานถมทอง สร้างด้วยเงินลงถมตะทอง ม้านิลมังกรเป็นม้านิลมังกรจำหลักไม้ ประดับเกล็ดด้วยนิล ขอบเกล็ดเหลี่ยมเพชร
ทั้งนี้ เพื่อให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้เห็นผลงาน และชื่นชมในพระปรีชาสามารถและพระวิสัยทัศน์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงสนับสนุนผลงานศิลปาชีพ ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ เตรียมสนองพระราชดำริในการสนับสนุนส่งเสริมงานช่างฝีมือไทยให้แพร่หลาย ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล รวมถึงการสนับสนุนการต่อยอดของเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล
