xs
xsm
sm
md
lg

มิลล์คอนฯส่งTDRเทรดตลาดหุ้นไต้หวัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มิลล์คอนฯ ส่ง TDR เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไต้หวันจำนวน 100 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.45% หวังเพิ่มสภาพคล่องและช่องทางการระดมทุนในอนาคต ผู้บริหารฟุ้ง เตรียมออกหุ้นใหม่ขายเพิ่ม หากนักลงทุนตอบรับดี ระบุคาดเข้าซื้อขายได้ภายในสิ้นปีนี้ ด้านผลการดำเนินงานปี 52 คาดจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 9.4 พันล้านบาท

นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตรีลอินดัสทรีส์ จำกัด หรือ MILL กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 8/2552 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2552 ได้มีมติให้สนับสนุนการออกและเสนอขาย Taiwan Depositary Receipt (TDR) จำนวนไม่เกิน 100,000,000 หุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คิดเป็นสัดส่วน 17.45% ของทุนที่ชำระแล้ว ซึ่งบริษัทจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ กฎระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไต้หวัน และไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานก.ล.ต. ของไต้หวัน คาดว่าจะจะใช้เวลาการพิจารณาประมาณ 3-4 เดือน และสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไต้หวันภายในปลายปีนี้

สำหรับการออกใบแทนหลักทรัพย์โดยมีหุ้นของบริษัทเป็นหลักทรัพย์อ้างอิง (Depositary Receipt) นั้น บริษัทได้นำหุ้นสามัญเดิมมาแปลงเป็น TDR ไม่เกิน 100 ล้านหุ้น คิดเป็น 17.45% ของทุนชำระแล้ว เนื่องจากพบว่าตลาดหุ้นไต้หวันมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทย ทำให้เกิดสภาพคล่องการซื้อขายได้ดีกว่า รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางระดมทุนขยายกิจการได้ในอนาคตด้วย

“มิลล์คอนฯ เข้าไปซื้อขายในตลาดหุ้นไต้หวัน เพราะบริษัทต้องการโกอินเตอร์ และตลาดบ้านเข้ามีสภาพคล่องดีกว่าตลาดหุ้นไทย และยังถือเป็นบริษัทสัญชาติไทยรายแรกที่เข้าไปซื้อขายในตลาดหุ้นไต้หวัน”

นายสิทธิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นบริษัทนำหุ้นเดิมไปแปลงสภาพเป็น TDR ซึ่งเป็นตราสารทุน เข้าไปซื้อขายในตลาดหุ้นไต้หวันก่อน หากในอนาคตได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน บริษัทอาจจะเพิ่มทุนใหม่เพิ่มเติม และคาดว่า TDR ของบริษัทจะเข้าซื้อขายในหมวด Construction Material

ส่วนความคืบหน้าการเจรจาหาพันธมิตรทางธุรกิจนั้น ขณะนี้บริษัทมีการเจรจาอยู่กับพันธมิตรประมาณ 2-3 ราย แต่ยังไม่รีบร้อนหาข้อยุติในเรื่องดังกล่าว เพราะการหาพันธมิตรจะต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาอย่างรอบคอบ

“มิลล์คอนฯ เปิดทางรับพันธมิตรอยู่แล้ว แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการหารือกับหลายๆ ราย โดยจะคำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับ ทั้งด้านการเงิน การตลาด ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย อิตาลี ฝรั่งเศส หรืออื่นๆ”

สำหรับผลประกอบการในปี 2552 นั้น นายสิทธิชัย กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 9.4 พันล้านบาท เนื่องจากราคาเหล็กปีนี้ยังคาดว่าต่ำกว่าปีก่อนที่เฉลี่ยประมาณ 30 บาท/กก. โดยขึ้นไปสูงสุดที่ราว 40 บาท/กก. แต่ในไตรมาส 2/52 ราคาเหล็กเริ่มฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 20 บาท/กก.จากต้นปีที่ร่วงลงไปต่ำกว่านั้น และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคาคงทรงตัวหรือขยับขึ้นบ้าง

“ขณะนี้ราคาเหล็กได้ขยับตัวเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนประมาณ 20% ทำให้ราคาในไตรมาส 2 เริ่มนิ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 20 บาท/กก. และแนวโน้มครึ่งปีหลังจะขยับเพิ่มอีกเล็กน้อย หลังจากโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่เริ่มมีความชัดเจน ทำให้มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้บริษัทบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น ไม่ผันผวนมากเหมือนปีที่แล้ว”
กำลังโหลดความคิดเห็น