xs
xsm
sm
md
lg

‘ซี.พี.’ในจีนยังแกร่งสู้วิกฤต ลุยซื้อโรงงานมอเตอร์ไซค์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ธนากร” ฟุ้งธุรกิจในเครือซีพี ที่จีน ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกโดยปีที่แล้วมียอดขายโต 10% ขณะที่ปีนี้ยอดขายของธุรกิจอุตสาหกรรมในเครือยังขยายตัวต่อเนื่อง ตั้งเป้า 2 ปี ขยายกำลังการผลิตมอเตอร์ไซค์เพิ่ม เล็งเทกโอเวอร์โรงงานในจีนที่ปิดตัวไป ชมนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนเยี่ยม ทำแบบค่อยเป็นค่อยไปควบคู่กับพัฒนาคน ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว และมั่นคง การันตีไม่มีปัญหาฟองสบู่แตกแน่ แนะไทยเร่งดึงนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในไทย ก่อนเบนเข็มไปลงทุนในมาเลย์ หรือ อินโด แทน

นายธนากร เสรีบุรี ประธานคณะกรรมการและประธานคณะผู้บริหารกลุ่มยานยนต์ อุตสาหกรรมทั่วไปและการเงินเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยในงานมุมธุรกิจกับซีพีครั้งที่ 1/2552 ว่า ธุรกิจซีพี กรุ๊ป ในจีนไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยทุกกลุ่มธุรกิจไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรมมอเตอร์ไซค์ ห้างสรรพสินค้าซุปเปอร์แบรนด์มอลล์ และการเกษตรต่างมีผลประกอบการเติบโตขึ้น แม้ว่าช่วงไตรมาส 4/2551 จะมียอดขายที่เติบโตลดลง แต่เฉลี่ยทั้งปีแล้วขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% มีเพียงอุตสาหกรรมส่งออกเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งเครือซีพี ในจีนมีการส่งออกน้อยมาก

สำหรับปีนี้ธุรกิจด้านอุตสาหกรรมของซีพี ในจีน คาดว่า จะเติบโตประมาณ 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจอุตสาหกรรมของซีพีในจีน ประกอบด้วย โรงงานผลิตรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อต้าหยาง และ ต้าหวิ่น ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 โรงงาน ใน 2 มณฑล กำลังการผลิต 2 ล้านคัน/ปี โดยปีนี้คาดว่าจะผลิตเพิ่มขึ้นจาก 1.5 ล้านคัน เป็น 1.6 ล้านคัน/ปี จากยอดขายมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใน 2 ปีนี้ ซีพี คงต้องมีการขยายโรงงานผลิตมอเตอร์ไซค์เพิ่มขึ้นอีก โดยบริษัทจะให้ความสำคัญในการซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์)โรงงานเดิมที่มีอยู่

“ขณะนี้จีนมีมอเตอร์ไซค์ร่วม 100 ยี่ห้อ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะเหลือไม่เกิน 20 ยี่ห้อ ซึ่งปัจจุบันมอเตอร์ไซค์แบรนด์เดียวของซีพี มีส่วนแบ่งตลาดอยู่อันดับ 3 แต่หากดูกำลังการผลิตเป็นอันดับ 7 จากมอเตอร์ไซค์ที่จีนผลิตได้รวม 22 ล้านคัน/ปี หากจะมีการลงทุนในอนาคตก็มองช่องทางการเทกโอเวอร์ เพราะโรงงานมอเตอร์ไซค์ปิดตัวไปปีละ 3-4 ราย เนื่องจากธุรกิจนี้แข่งขันรุนแรง มีกำไรเพียงคันละ 50-100 หยวนเท่านั้น ทำให้รายเล็กอยู่ไม่ได้ การลงทุนขยายกำลังการผลิตใหม่ เราไม่ห่วงเรื่องเทคโนโลยี แต่ต้องมองตลาดและซัปพลายเออร์ชิ้นส่วนด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ”

จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ ทำให้บริษัทต้องปรับลดการส่งออกรถมอเตอร์ไซค์ลงจากปีละ 2.5 แสนคัน เหลือเพียง 1 แสนคัน ในปีนี้ โดยปริมาณมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ได้ส่งออกจะหันมาจำหน่ายในประเทศแทน ซึ่งไม่มีปัญหาความต้องการรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศยังมีอยู่มาก เพราะรัฐบาลให้การสนับสนุน นอกจากนี้ เครือซีพี ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายรถขุดCATERPILLAR ในจีน โดยปีนี้มีแผนจะขยายศูนย์ซ่อมบำรุงเพิ่มเติมรวมแล้วมีศูนย์ทั้งสิ้น 9 แห่ง ซึ่งการลงทุนจะใช้เงินไม่มากเพียงสาขาละ 200 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมในเครือซีพี ที่จีน นั้น จะใช้เงินลงทุนปีละ 200-300 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโดยนำผลกำไรจากการดำเนินงานมาลงทุนต่อเนื่อง ที่ผ่านมา มีเพียงธุรกิจผลิตเบียร์ที่หนานหนิง ในจีน ที่ขาดทุนมาต่อเนื่อง 5 ปี แต่ภายหลังมีการดึงQing DAO ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ของจีนมาเป็นพาร์ทเนอร์ถือหุ้นใหญ่ ปรากฏว่า ปีที่แล้วธุรกิจเบียร์เริ่มมีกำไรขึ้น คาดว่า ภายใน 4 ปีข้างหน้าจะคืนทุน

นายธนากร กล่าวว่า ในฐานะที่มีประสบการณ์ทำธุรกิจของซีพี ในจีน มาเกือบ 30 ปี มีความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจีนยังเติบโตต่อไปอย่างเข้มแข็ง ไม่มีปัญหาฟองสบู่แตกเหมือนที่นักวิชาการต่างชาติเคยคาดการณ์ไว้ แม้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของจีนในปีแต่ละปีจะโตกว่า 10% และปีนี้คาดว่าจีดีพีจีนจะโตไม่น้อยกว่า 7%

เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลจีน มีการพัฒนาเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมไปกับการพัฒนาคน โดยส่งคนระดับหัวกะทิไปศึกษาต่างประเทศ แล้วกลับมาทำงานในจีนมาตั้งแต่สมัยเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งมองว่า นโยบายดังกล่าวมีผลทำให้จีนสามารถพัฒนาประเทศได้รวดเร็ว มั่นคงและยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก

ขณะเดียวกัน นโยบายของรัฐบาลจีนก็มีความยืดหยุ่นในการจัดเก็บภาษี โดยผู้ว่ามณฑลของจีนมีสิทธิ์ที่จะลดการจัดเก็บภาษีลงเพื่อดึงดูดการลงทุน ซึ่งโรงงานที่ตั้งนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษจะเสียภาษี 24-35% สูงกว่าโรงงานที่ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จัดเก็บภาษีอยู่ 15% นับเป็นจุดสำคัญในการดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติไปจีน อย่างไรก็ตาม จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงนี้ ทำให้คนว่างงาน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจีนวางนโยบายต่างๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจอยู่ได้โดยไม่ต้องมีการเลิกจ้างแรงงาน รวมทั้งมีการทุ่มเม็ดเงิน 4 ล้านล้านหยวน ใน 10 มาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศภายในช่วง 2 ปีนี้ จากมาตรการดังกล่าวนี้เองทำให้เศรษฐกิจของจีนเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ

ดังนั้น รัฐบาลไทยควรให้ความสนใจการดึงนักลงทุนจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น หลังจากรัฐบาลจีนส่งเสริมสนับสนุนให้นักธุรกิจจีนไปลงทุนในต่างประเทศ แต่ปัญหาการเมืองไทยที่เกิดขึ้น ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสที่จะดึงนักลงทุนจากจีนไปจำนวนมาก ทำให้นักลงทุนเหล่านี้หันไปลงทุนที่มาเลเซีย และอินโดนีเซียแทน โดยอุตสาหกรรมที่จีนสนใจลงทุนในไทย คือ อุตสาหกรรมการเกษตรต่อยอด เครื่องใช้ภายในบ้าน และเคมีภัณฑ์ หากการเมืองไทยมีความพร้อม เชื่อว่า นักลงทุนจีนก็พร้อมที่จะลงทุนในไทยทันที

ธุรกิจในจีนมีการแข่งขันสูง การตัดสินใจลงทุนใหม่ๆ ของซีพี เหมือนในอดีตทำไม่ได้ มีความเสี่ยงสูง เพราะต้องมีความพร้อมทั้งเงิน คน และเทคโนโลยี ซึ่งปัญหาคนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะคนเก่งในจีนส่วนใหญ่หันมาทำธุรกิจส่วนตัวกันมาก ทำให้การสร้างคนในจีนลำบาก ขณะเดียวกัน หากมีการขยายธุรกิจจากฐานเดิมของเครือซีพี ที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น