โตโย-ไทยฯ ปลื้มเทรดวันแรกราคายืนเหนือจองที่ 4.25 บาท ไม่หวั่นแม้ดัชนีผันผวนหนักปรับตัวลด 2% มั่นใจยืนเหนือจองได้ตลอดทั้งวัน จากความโดดเด่นของธุรกิจรับเหมาฯที่ครบวงจรไม่เหมือนใคร การมีสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงงานในมือกว่า 9.3 พันล้านบาท
นายสุวิทย์ มโนมัยยานนท์ ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและสัญญา บริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือTTCL เปิดเผยว่า สำหรับการเปิดซื้อขายหลักทรัพย์วันแรก (16 มิถุนายน 52) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้น ในปีนี้ TTCL ถือเป็นบริษัทแรกที่เข้าเทรดในตลาดใหญ่ และรู้สึกยินดีที่ราคาหุ้นสามารถเปิดซื้อขายเหนือราคาจองที่ 4.25 บาทได้ โดยมีราคาเปิดอยู่ที่ 4.40 บาท และไต่เพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุด 4.80 บาท ในการซื้อขายของช่วงเช้า
ทั้งนี้บริษัทยังคงมั่นใจว่าราคาหุ้นของ TTCL จะสามารถยืนในระดับเหนือจองได้จนกระทั้งปิดการซื้อขายในตลาดฯ และถึงแม้แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะมีความผันผวนแรง โดยวานนี้ช่วงเปิดการซื้อขายดัชนีตลาดฯ มีการปรับลดลงถึง 2% แต่ราคาก็สามารยืนเหนือจองได้ ด้วยสาเหตุทางความแข็งแกร่งของธุรกิจเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งจุดเด่นของบริษัทอยู่ที่การเป็นบริษัทรับเหมาฯที่ให้บริการ Integrated EPC ครบวงจรเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในไทยตอนนี้
นอกจากนี้บริษัทยังคงมีความแข็งแกร่งในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน โดยปัจจุบันมีกระแสเงินสดอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท รวมถึงไม่มีประวัติการกู้เงิน ประกอบกับธุรกิจที่บริษัททำอยู่ขณะนี้ยังคงมีคู่แข่งที่น้อยราย และมีต้นทุนการดำเนินงานที่ถูกอยู่ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างช่องทางการเติบโตในธุรกิจ อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในการทำกำไร โดยเมื่อปี2551 บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 46% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่โดดเด่นที่สุดในอุตสาหกรรม
ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Back Log) อยู่ 9,300 ล้านบาท อีกทั้งจะทยอยเข้าประมูลงานประกวดราคาอีกมูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท โดยจาดสถิติที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราความสำเร็จในการเข้าประมูลงานอยู่ที่ประมาณ 33%
นายไพบูลย์ นรินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดเทรดของ TTCL วานนี้ถือว่าราคาออกมาเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากช่วงนี้ภาวะตลาดค่อนข้างผันผวน ประกอบกับช่วงเปิดตลาดเช้าดัชนีฯ มีการปรับตัวลดลง 2% ซึ่งภายใต้ปัจจัยต่างๆที่เข้ามากดดันแต่บริษัทมีราคาเปิดอยู่ในระดับเหนือจองก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ประกอบกับรูปแบบธุรกิจของบริษัทที่มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครและมีความน่าสนใจอยู่ในตัวจึงเหมาะแก่การลงทุนแบบระยะยาว
ทั้งนี้ประเมินแนวโน้มภาพรวมของตลาดทุน หลังจากที่เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และในช่วงหลังนี้มีอัตราการไหลเข้ามาที่ค่อนข้างมาก ส่งผลกดดันตลาดหุ้นไทยให้มีการผันผวนอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยเบื้องต้นประเมินว่าช่วง1 เดือนหลังจากนี้ดัชนีตลาดฯ จะยังไม่มีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่จะมีโอกาสปรับตัวลดลงแตะที่ระดับ 500 จุด ได้ในช่วงไตรมาส 3/52 อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นปัจจัยสนับสุนนและน่าจับตามองขณะนี้คือ เรื่องของการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจมีขึ้นช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายนนี้
“จริงๆ เรามองว่าช่วงนี้ที่ทีการปรับตัวขึ้นลง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรมากมาย แต่มันเป็นภาพของความเลวร้ายที่อาจจะดีกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้เท่านั้น คนก็เลยมองว่ามันมีการปรับตัวดีขึ้น แต่ถ้าเรามองดีๆ จะเห็นว่ามันยังไม่ได้ดีขึ้นจริง เพราะเรื่องของการไหลเข้าของเม็ดเงินต่างชาติที่ตอนนี้เหมือนจะไหลเข้ามาเพิ่มขั้นกว่าช่วงแรก เพราะยิ่งมีการไหลเข้ามาเยอะเท่าไหร่ หุ้นก็จะร่วงเร็วและปรับตัวแรงเท่านั้น” นายไพบูลย์ กล่าว
นายสุวิทย์ มโนมัยยานนท์ ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและสัญญา บริษัท โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือTTCL เปิดเผยว่า สำหรับการเปิดซื้อขายหลักทรัพย์วันแรก (16 มิถุนายน 52) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้น ในปีนี้ TTCL ถือเป็นบริษัทแรกที่เข้าเทรดในตลาดใหญ่ และรู้สึกยินดีที่ราคาหุ้นสามารถเปิดซื้อขายเหนือราคาจองที่ 4.25 บาทได้ โดยมีราคาเปิดอยู่ที่ 4.40 บาท และไต่เพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุด 4.80 บาท ในการซื้อขายของช่วงเช้า
ทั้งนี้บริษัทยังคงมั่นใจว่าราคาหุ้นของ TTCL จะสามารถยืนในระดับเหนือจองได้จนกระทั้งปิดการซื้อขายในตลาดฯ และถึงแม้แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะมีความผันผวนแรง โดยวานนี้ช่วงเปิดการซื้อขายดัชนีตลาดฯ มีการปรับลดลงถึง 2% แต่ราคาก็สามารยืนเหนือจองได้ ด้วยสาเหตุทางความแข็งแกร่งของธุรกิจเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งจุดเด่นของบริษัทอยู่ที่การเป็นบริษัทรับเหมาฯที่ให้บริการ Integrated EPC ครบวงจรเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในไทยตอนนี้
นอกจากนี้บริษัทยังคงมีความแข็งแกร่งในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน โดยปัจจุบันมีกระแสเงินสดอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท รวมถึงไม่มีประวัติการกู้เงิน ประกอบกับธุรกิจที่บริษัททำอยู่ขณะนี้ยังคงมีคู่แข่งที่น้อยราย และมีต้นทุนการดำเนินงานที่ถูกอยู่ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างช่องทางการเติบโตในธุรกิจ อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในการทำกำไร โดยเมื่อปี2551 บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 46% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่โดดเด่นที่สุดในอุตสาหกรรม
ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Back Log) อยู่ 9,300 ล้านบาท อีกทั้งจะทยอยเข้าประมูลงานประกวดราคาอีกมูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท โดยจาดสถิติที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราความสำเร็จในการเข้าประมูลงานอยู่ที่ประมาณ 33%
นายไพบูลย์ นรินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดเทรดของ TTCL วานนี้ถือว่าราคาออกมาเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากช่วงนี้ภาวะตลาดค่อนข้างผันผวน ประกอบกับช่วงเปิดตลาดเช้าดัชนีฯ มีการปรับตัวลดลง 2% ซึ่งภายใต้ปัจจัยต่างๆที่เข้ามากดดันแต่บริษัทมีราคาเปิดอยู่ในระดับเหนือจองก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ประกอบกับรูปแบบธุรกิจของบริษัทที่มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครและมีความน่าสนใจอยู่ในตัวจึงเหมาะแก่การลงทุนแบบระยะยาว
ทั้งนี้ประเมินแนวโน้มภาพรวมของตลาดทุน หลังจากที่เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และในช่วงหลังนี้มีอัตราการไหลเข้ามาที่ค่อนข้างมาก ส่งผลกดดันตลาดหุ้นไทยให้มีการผันผวนอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยเบื้องต้นประเมินว่าช่วง1 เดือนหลังจากนี้ดัชนีตลาดฯ จะยังไม่มีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่จะมีโอกาสปรับตัวลดลงแตะที่ระดับ 500 จุด ได้ในช่วงไตรมาส 3/52 อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นปัจจัยสนับสุนนและน่าจับตามองขณะนี้คือ เรื่องของการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจมีขึ้นช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายนนี้
“จริงๆ เรามองว่าช่วงนี้ที่ทีการปรับตัวขึ้นลง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรมากมาย แต่มันเป็นภาพของความเลวร้ายที่อาจจะดีกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้เท่านั้น คนก็เลยมองว่ามันมีการปรับตัวดีขึ้น แต่ถ้าเรามองดีๆ จะเห็นว่ามันยังไม่ได้ดีขึ้นจริง เพราะเรื่องของการไหลเข้าของเม็ดเงินต่างชาติที่ตอนนี้เหมือนจะไหลเข้ามาเพิ่มขั้นกว่าช่วงแรก เพราะยิ่งมีการไหลเข้ามาเยอะเท่าไหร่ หุ้นก็จะร่วงเร็วและปรับตัวแรงเท่านั้น” นายไพบูลย์ กล่าว
