โพลีเพล็กซ์ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่เติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 6.8 พันล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิให้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 15.19% จากพิษเศรษฐกิจทำภาคอุตสาหกรรมโดยรวมหดตัว ปีนี้ทุ่มงบลงทุนกว่า 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เตรียมขยายกำลังการผลิตในธุรกิจ และลงทุนตั้งบริษัทเทรดดิ้งในจีน
นายโรฮิท กุมาร์ วาฮิททรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PTL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 52 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2553) ให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ที่ 6,860 ล้านบาท และรักษาอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในระดับ 1.04 พันล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อนที่ 15.19% เนื่องจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ หดตัวตาม อาทิ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ภาคอุตสาหกรรมการไฟฟ้าจากเดิมที่คาดว่าเติบโตเฉลี่ย 8-10% เหลือเติบโตเพียง 0-2% หลังความต้องการชะลอตัวลงจากวิกฤตครั้งนี้
สำหรับในปี 2552/2553 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 18-19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อใช้ขยายธุรกิจผลิตแผ่นพลาสติกใส หรือ Cast Polypropylene Project (CPP) โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 17.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีการเติบโตที่ระดับ 7-8% อีกทั้งเตรียมลงทุนในธุรกิจบริษัทเทรดดิ้งประเทศจีน ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 0.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งบริษัทดังกล่าวได้อีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ โดยมองว่าตลาดในจีนยังคงโตได้อีกและมีศักยภาพที่สูงอยู่
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการวางแผนงานเพื่อขยายกำลังการผลิต Silicone Coating Line ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนที่ 19.44 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ ว่าจะใช้ประเทศไทยหรือตุรกีเป็นฐานการผลิตเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยกลุ่มสินค้าของโครงการดังกล่าวจะอยู่ในแถบยุโรป อเมริกา และเอเชีย ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งและเพิ่มทางเลือกใหม่ให้ลูกค้า ซึ่งก็คาดว่าจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต
“ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้เรายังคาดการณ์อะไรไม่ได้จริงๆ การคาดการณ์ต่างๆต้องถูกนำกลับมาพิจารณาใหม่ทุกๆ 1 หรือ 2 เดือน เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำไห้เราไม่อยากมองภาพที่ไกลเกินไป ในส่วนของราคาน้ำมันมี่ปรับตัวผันผวนก็ส่งผลกระทบต่อเราเหมือนกัน เรื่องราคาวัตถุดิบก็เป็นอะไรที่ประเมินไม่ได้ต้องเป็นไปตามกลไกของตลาดขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน แต่เราก็อาศัยการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้มีความหลากหลายไปสู่ทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพเพื่อรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ให้แน่น” นายโรฮิท กล่าว
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการใช้กำลังกาผลิตจากอัตราการใช้กำลังการผลิตในไตรมาส 4 /51 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2552) บริษัทมีกำลังการผลิตฟิล์มธรรมดาอยู่ที่ 94% ซึ่งคาดว่าไตรมาส 1/52 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2552) จะมีการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 100% สำหรับแผ่นฟิล์มเคลือบโลหะไตรมาสก่อนอยู่ที่ 63% ในไตรมาสนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 70% จากความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชียที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มบริษัทไม่สามารถผลักภาระให้กับผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่ จากที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 20 เซนต์ต่อกิโลกรัม ซึ่งในส่วนนี้บริษัทสามารถผลักภาระให้ผู้บริโภคได้เพียง 50% เท่านั้น
นายโรฮิท กุมาร์ วาฮิททรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PTL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 52 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2553) ให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ที่ 6,860 ล้านบาท และรักษาอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในระดับ 1.04 พันล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อนที่ 15.19% เนื่องจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ หดตัวตาม อาทิ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ภาคอุตสาหกรรมการไฟฟ้าจากเดิมที่คาดว่าเติบโตเฉลี่ย 8-10% เหลือเติบโตเพียง 0-2% หลังความต้องการชะลอตัวลงจากวิกฤตครั้งนี้
สำหรับในปี 2552/2553 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 18-19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อใช้ขยายธุรกิจผลิตแผ่นพลาสติกใส หรือ Cast Polypropylene Project (CPP) โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 17.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีการเติบโตที่ระดับ 7-8% อีกทั้งเตรียมลงทุนในธุรกิจบริษัทเทรดดิ้งประเทศจีน ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 0.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งบริษัทดังกล่าวได้อีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ โดยมองว่าตลาดในจีนยังคงโตได้อีกและมีศักยภาพที่สูงอยู่
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการวางแผนงานเพื่อขยายกำลังการผลิต Silicone Coating Line ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนที่ 19.44 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ ว่าจะใช้ประเทศไทยหรือตุรกีเป็นฐานการผลิตเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยกลุ่มสินค้าของโครงการดังกล่าวจะอยู่ในแถบยุโรป อเมริกา และเอเชีย ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งและเพิ่มทางเลือกใหม่ให้ลูกค้า ซึ่งก็คาดว่าจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต
“ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้เรายังคาดการณ์อะไรไม่ได้จริงๆ การคาดการณ์ต่างๆต้องถูกนำกลับมาพิจารณาใหม่ทุกๆ 1 หรือ 2 เดือน เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำไห้เราไม่อยากมองภาพที่ไกลเกินไป ในส่วนของราคาน้ำมันมี่ปรับตัวผันผวนก็ส่งผลกระทบต่อเราเหมือนกัน เรื่องราคาวัตถุดิบก็เป็นอะไรที่ประเมินไม่ได้ต้องเป็นไปตามกลไกของตลาดขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน แต่เราก็อาศัยการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้มีความหลากหลายไปสู่ทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพเพื่อรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ให้แน่น” นายโรฮิท กล่าว
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการใช้กำลังกาผลิตจากอัตราการใช้กำลังการผลิตในไตรมาส 4 /51 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2552) บริษัทมีกำลังการผลิตฟิล์มธรรมดาอยู่ที่ 94% ซึ่งคาดว่าไตรมาส 1/52 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2552) จะมีการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 100% สำหรับแผ่นฟิล์มเคลือบโลหะไตรมาสก่อนอยู่ที่ 63% ในไตรมาสนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 70% จากความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชียที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มบริษัทไม่สามารถผลักภาระให้กับผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่ จากที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 20 เซนต์ต่อกิโลกรัม ซึ่งในส่วนนี้บริษัทสามารถผลักภาระให้ผู้บริโภคได้เพียง 50% เท่านั้น