ไอที ซิตี้ เล็งเปิดสาขาใหม่อีก 3-5 แห่งปีนี้ หวังขยายฐานลูกค้า เน้นส่งเสริมการตลาดและนำเสนอขายสินค้าใหม่ ๆ ดึงลูกค้าเพื่อกระตุ้นยอดขายหลังเศรษฐกิจซบ ชี้บาทแข็งไม่กระทบการนำเข้าสินค้า เหตุบริษัทป้องกันความเสี่้ยงกับแบงก์ไว้แล้ว ฟุ้งกระแสเงินสดดีสภาพคล่องสูง
นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ IT เปิดเผยว่า ในปี 52 บริษัทฯ เตรียมเปิดสาขาใหม่จำนวน 3-5 แห่ง ในแถบต่างจังหวัด จากปัจจุบันที่มีสาขาจำนวน 34 แห่ง กระจายอยู่ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศไทย โดยประเมินว่านาจะใช้เงินลงทุนส่วนดังกล่าวประมาณ 6-8 ล้านบาท/สาขา หรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 18-40 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นในลักษณะการเช่าพื้นที่ภายในศูนย์คอมพิวเตอร์หรือห้างสรรพสินค้าของจังหวัดนั้นๆ เพื่อขยายฐานธุรกิจและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าด้านไอทิ เช่น คอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ อุปกรณ์เสริม ฯลฯ
สำหรับแนวทางการบริหารงานปีนี้คงจะเน้นการส่งเสริมการตลาดให้มากขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายหลังสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งจะพยายามเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อนำสินค้าด้านไอทีใหม่ๆ เข้ามาจำหน่ายในพื้นที่ของบริษัทเพื่อดึงดูความสนใจของลูกค้าอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนขณะนี้มาอยู่ในระดับ 34.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นั้นไมได้ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพราะได้มีการทำประกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) ด้านค่าเงินกับทางธนาคารพณิชย์ (แบงก์) ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากพิษเศรษฐกิจ และหลายอุตสาหกรรมและหลายบริษัทหันไปปรับลดพนักงานเพื่อลดต้นทุนด้านการบริหาร แต่ทางบริษัทยังไม่มีความคิดดังกล่าว เพราะยังไม่เห็นความจำเป็น เนื่องจากตอนนี้ฐานะการเงินของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีกระแสเงินประมาณ 284.89 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้ต่อผู้ถือหุ้นแค่เพียง 0.67 เท่า ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้ถือได้ว่าสภาพคล่องของ IT ค่อนข้างแข็งแกร่งมากและไม่มีความจำเป็นต้องออกหุ้นกู้หรือต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด
"ภาพรวมตลาดสินค้าไอในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ถือได้ว่าทิศทางดีขึ้นกว่าไตรมาสแรกที่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจ แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 51 นั้นกลับมีทิศทางที่แย่ลงพอค่อนข้างมากที่ไม่ค่อยมีปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค" นายเอกชัยกล่าว
ส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทคงจะอยู่ประมาณไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล (โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติม) ด้านรายได้หลักของบริษัทนั้นคงมาจากการขายเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆประมาณ 30 % ซึ่งส่วนที่เหลือมาจากอุปกรณ์เสริมแ สายต่อพ่วง และอื่นๆ
สำหรับผลประกอบสิ้นไตรมาส 1 ปี 52 พบว่ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 22.20 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 40.42 ล้านบาท หรือลดลง 18.22 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45.08% โดยเป็นรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ด้านไอทีลดลงมาจากยอดขายหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจซบ ขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายและบริหารงานปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ IT เปิดเผยว่า ในปี 52 บริษัทฯ เตรียมเปิดสาขาใหม่จำนวน 3-5 แห่ง ในแถบต่างจังหวัด จากปัจจุบันที่มีสาขาจำนวน 34 แห่ง กระจายอยู่ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศไทย โดยประเมินว่านาจะใช้เงินลงทุนส่วนดังกล่าวประมาณ 6-8 ล้านบาท/สาขา หรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 18-40 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นในลักษณะการเช่าพื้นที่ภายในศูนย์คอมพิวเตอร์หรือห้างสรรพสินค้าของจังหวัดนั้นๆ เพื่อขยายฐานธุรกิจและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าด้านไอทิ เช่น คอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ อุปกรณ์เสริม ฯลฯ
สำหรับแนวทางการบริหารงานปีนี้คงจะเน้นการส่งเสริมการตลาดให้มากขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายหลังสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งจะพยายามเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อนำสินค้าด้านไอทีใหม่ๆ เข้ามาจำหน่ายในพื้นที่ของบริษัทเพื่อดึงดูความสนใจของลูกค้าอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนขณะนี้มาอยู่ในระดับ 34.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นั้นไมได้ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพราะได้มีการทำประกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) ด้านค่าเงินกับทางธนาคารพณิชย์ (แบงก์) ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากพิษเศรษฐกิจ และหลายอุตสาหกรรมและหลายบริษัทหันไปปรับลดพนักงานเพื่อลดต้นทุนด้านการบริหาร แต่ทางบริษัทยังไม่มีความคิดดังกล่าว เพราะยังไม่เห็นความจำเป็น เนื่องจากตอนนี้ฐานะการเงินของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีกระแสเงินประมาณ 284.89 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้ต่อผู้ถือหุ้นแค่เพียง 0.67 เท่า ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้ถือได้ว่าสภาพคล่องของ IT ค่อนข้างแข็งแกร่งมากและไม่มีความจำเป็นต้องออกหุ้นกู้หรือต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด
"ภาพรวมตลาดสินค้าไอในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ถือได้ว่าทิศทางดีขึ้นกว่าไตรมาสแรกที่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจ แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 51 นั้นกลับมีทิศทางที่แย่ลงพอค่อนข้างมากที่ไม่ค่อยมีปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค" นายเอกชัยกล่าว
ส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทคงจะอยู่ประมาณไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล (โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติม) ด้านรายได้หลักของบริษัทนั้นคงมาจากการขายเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆประมาณ 30 % ซึ่งส่วนที่เหลือมาจากอุปกรณ์เสริมแ สายต่อพ่วง และอื่นๆ
สำหรับผลประกอบสิ้นไตรมาส 1 ปี 52 พบว่ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 22.20 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 40.42 ล้านบาท หรือลดลง 18.22 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45.08% โดยเป็นรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ด้านไอทีลดลงมาจากยอดขายหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจซบ ขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายและบริหารงานปรับตัวเพิ่มขึ้น