บิ๊กสหพัฒน์ฯ จวกรัฐบาลแก็ปํญหา ศก.ผิดทาง เกาไม่ตรงที่คัน ชี้ชัด ค่าเงินบาทเป็นต้นเหตุแท้จริงทำคลังถังแตก เพราะไม่มีการแก้ปัญหาจริงจัง พร้อมยกห้องพักโรงแรมหด ไม่เกี่ยวการเมืองแต่เป็นเรื่องค่าเงิน และแปลกใจ สภาพัฒน์ เพิ่งบอก "จีดีพี" ไตรมาสแรกทรุดหนัก ทั้งที่เกิดมานานแล้ว
นายบุญสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ระหว่างร่วมงานแสดงสินค้าประจำปีของเครือสหพัฒน์เกี่ยวกับมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่ามีความผิดพลาด โดยเฉพาะการที่ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการกู้เงินมาเพื่อพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจ เหมือนเป็นการทำการค้าที่ขาดทุน และทำให้ประเทศถังแตก ขณะที่มาตรการการแจกเงินก็ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดเช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมสภาพัฒน์ฯ จึงได้ประกาศลดประมาณการณ์จีดีพีประเทศไทย ติดลบ 7.1%
"ตนเองมองเห็นแนวโน้มขาลงของเศรษฐกิจมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว นับจากวันที่เกิดการรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดการรัฐประหารนั้น สภาพเศรษฐกิจดูเหมือนจะยังดีอยู่ โดยค่าเงินอยู่ที่ 42 บาท แต่พอเกิดการรัฐประหารขึ้น ค่าเงินก็ตกลงไปที่ 32 บาท และมีการชะลอการลงทุนจากหลายประเทศ ซึ่งตอนนั้นทางเครือสหพัฒน์เองได้เริ่มขยับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่เกิด เพราะเชื่อว่าจะแย่ลงอีก จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าทำไมสภาพัฒน์ ถึงเพิ่งออกมาบอกว่าเศรษฐกิจจะตกหนัก ทั้งๆ ที่ผู้ประกอบการเห็นสัญญาณมาตั้งนานแล้ว"
นายบุญสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวชี้วัด คือ การที่โรงแรมไม่มีคนมาเข้าพัก ซึ่งหลายฝ่ายโทษว่าเป็นเพราะปัญหาการเมืองนั้น นายบุญสิทธิ์ มองว่าเกิดจากปัญหาค่าเงินเช่นเดียวกันซึ่งปัญหานี้ควรต้องเร่งแก้ไขเป็นการด่วน โดยได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหา ว่ารัฐควรหันมาแก้ปัญหาที่ค่าเงินบาทมากกว่า โดยมองว่าระดับค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรต่อสภาพเศรษฐกิจควรให้อยู่ในระดับที่ 40 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับภาพรวมธุรกิจของกลุ่มสหพัฒน์ในปี 2552 ยอมรับว่า ได้รับผลกระทบเล็กน้อยในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย โดยได้วางแผนที่จะทำโปรโมชันให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย อย่างไรก็ตาม คาดว่าทั้งกลุ่มในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตลดลง 5% จากที่ปีก่อนหน้าสหพัฒน์มียอดขายเติบโตที่ 10%