ศูนย์ข่าวศรีราชา - เครือสหพัฒน์ฯ ไม่หวั่นกระแสเศรษฐกิจซบเดินหน้าปรับโฉมแพกเกจสินค้าในเครือเพื่อสร้างความแปลกใหม่และแรงจูงใจในการซื้อให้กับกลุ่มเป้าหมาย เชื่อการขยายตัวทางธุรกิจในไตรมาสแรกของปีจะเป็นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงสิ้นปียังคาดว่าธุรกิจจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% เช่นหลายปีก่อน เชื่อแม้ธุรกิจหลายชนิดจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจแต่ผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภคที่ได้มาตรฐานจะยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
นายทนง ศรีจิตร์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัทสหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ฯ ศรีราชา จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตสินค้าหลักหลายชนิดทั้งในกลุ่มไลอ้อนและสินค้าต่างๆ ของเครือ สหพัฒน์ฯ เผยถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่คาดว่ากำลังซื้อในส่วนต่างๆ จะลดน้อยลงว่า สำหรับสินค้าในเครือสหพัฒน์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภคจะไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว
เนื่องจากสินค้าที่มีถือเป็นสินค้าพื้นฐานที่มีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชน และยังเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ที่สำคัญบริษัทฯ ยังเดินหน้าออกสินค้าตัวใหม่ในลักษณะสินค้าเพื่อสุขภาพเพื่อให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ในช่วงที่ผ่านมาสินค้าในกลุ่มไลอ้อน ที่ประกอบด้วย ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ยาสีฟัน แปรงสีฟันซิสเทมม่า ฯลฯซึ่งถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ยังได้ปรับโฉมแพกเก็จสินค้าใหม่ ซึ่งในปี 2551 กลุ่มไลอ้อนยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการสร้างหออบและพื้นที่หน้าท่า เพื่อเดินเครื่องส่งสินค้าโดยตรงให้กับลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ อีกด้วย
“มีการคาดการณ์กันว่าในปีนี้สินค้าฟุ่มเฟื่อยจะขายไม่ได้ แต่สินค้าของเราเป็นสินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภค ซึ่งก็จะยังคงไปได้แต่อย่างไรก็ดีก็ต้องดูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยว่าจะสามารถดึงกำลังซื้อที่หดหายไปให้กลับมาในภาคการตลาดได้มากน้อยเพียงใด ส่วนการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภคบริษัทฯ คงระมัดระวังเพื่อป้องกันการเสี่ยง ขณะที่การผลิตสินค้าประเภทเสื้อผ้า ทั้งแบรนด์ลาคอส หรืออื่นๆ ที่มีราคาสูงขิ้นมาหน่อยเราก็จะพยายามที่จะไม่เพิ่มต้นทุนการผลิต เช่นการไม่เน้นการย้อมที่จะเพิ่มต้นทุนลายธรรมชาติแต่จะเน้นการสวมใสที่สบายมากขึ้น”
นายทนง ยังเผยถึงแนวโน้มการตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปีสำหรับสินค้าในเครือสหพัฒน์ฯทั้งหมดว่า จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนเพราะยังคงมีความต้องการของตลาด ประกอบกับสินค้าในเครือเป็นสินค้าที่มีราคาไม่แพง จึงคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2552 การเติบโตทางธุรกิจของเครือสหพัฒน์ฯ จะมีไม่น้อยกว่า 10% เช่นหลายๆ ปีที่ผ่านมา
สำหรับในแง่การตลาดนั้นบริษัทฯ ยังคงนโยบายที่จะไม่มุ่งเน้นการทุ่มงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์แต่จะเพิ่มช่องทางให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้มีโอกาสทดลองใช้สินค้าของบริษัทฯ ก่อนตัดสินใจเป็นลูกค้าประจำ