เจริญโภคภัณฑ์อาหารงวดนี้โกยกำไรเกือบ 770.53 ล้านบาท หรือเพิ่มจากปีก่อน 71% โดยอัตราทำกำไรปรับตัวดีขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา หลังใช้นโยบายบริหารด้านการผลิต กระบวนการทำงาน และการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับธุรกิจสัตว์น้ำทั้งในและต่างประเทศเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ หลังซบเซามาถึง 2 ปี เชื่อแนวโน้มดีและผลงานบริษัทย่อยเยี่ยม
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (CPF) เปิดเผยว่บริษัทมีกำไรสุทธิ 770.53 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 451.24 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 319.29 ล้านบาท คิดเป็น 70.76 % ผลจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจสัตว์น้ำทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมไปถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนในภาพรวมของทั้งบริษัทที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ปรับตัวดีขึ้น
โดยไตรมาสแรกนี้บริษัทมียอดขาย 34,779 ล้านบาท เติบโตไม่มากเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายบางส่วนงาน อันรวมถึงอาหารสัตว์บกและพันธ์สัตว์ลดลงจากระยะเวลาเดียวกันจากปีก่อน เพราะการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศลดลง แต่อัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในหลายส่วนงาน โดยเฉพาะธุรกิจสัตว์น้ำทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งภาพรวมนั้นการเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากนโยบายที่บริษัทดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งด้านบริหารการผลิต ด้านบริหารสินค้าคงคลัง ด้านบริหารลูกหนี้ทางการค้า และด้านการบริหารทางการเงิน
สำหรับความกังวลเรื่องภาวะวิกฤตทางการเงินของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่เกิดขึ้น มีผลกระทบกับยอดขายส่งออกไม่มากนัก เนื่องจากไทยยังด้รับคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น อันเป็นผลจากกรณีที่จีนมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยในสินค้าอาหารในปีที่ผ่านมา รวมทั้งเกี๊ยวกุ้งที่รุกตลาดส่งออกก็ได้รับการตอบรับจากตลาดต่างประเทศเป็นอย่างดี
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติเพิ่มการลงทุนในประเทศอินเดีย โดย CPF จะเข้าไปซื้อเงินลงทุนเพิ่มอีก 28.8% ใน Charoen Pokphand (India) Private Ltd. (CPI) ซึ่ง CPF ถือหุ้นอยู่เดิม 71.2% ของทุนที่ชำระแล้ว จะทำให้ CPF เป็นผู้ถือหุ้น 100% ในบริษัทนี้ CPI เป็นบริษัทที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่งมีโอกาสเติบโตสูง เพราะอินเดียเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ส่งผลดีต่อการถือหุ้นดังกล่าวที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
นายอดิเรกกล่าวว่าแนวโน้มผลงานครึ่งหลังปี 52 นั้น น่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรก และดีกว่าปี 51 จากการบริหารด้านประสิทธิภาพขององค์กรโดยรวม และการเติบโตของธุรกิจส่งออกสินค้าพร้อมรับประทานที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งกิจการในต่างประเทศโดยเฉพาะที่ตุรกี ก็มีแนวโน้มผลงานดีขึ้นอย่างมากจากปีก่อนด้วย
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (CPF) เปิดเผยว่บริษัทมีกำไรสุทธิ 770.53 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 451.24 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 319.29 ล้านบาท คิดเป็น 70.76 % ผลจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจสัตว์น้ำทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมไปถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนในภาพรวมของทั้งบริษัทที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ปรับตัวดีขึ้น
โดยไตรมาสแรกนี้บริษัทมียอดขาย 34,779 ล้านบาท เติบโตไม่มากเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายบางส่วนงาน อันรวมถึงอาหารสัตว์บกและพันธ์สัตว์ลดลงจากระยะเวลาเดียวกันจากปีก่อน เพราะการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศลดลง แต่อัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในหลายส่วนงาน โดยเฉพาะธุรกิจสัตว์น้ำทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งภาพรวมนั้นการเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากนโยบายที่บริษัทดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งด้านบริหารการผลิต ด้านบริหารสินค้าคงคลัง ด้านบริหารลูกหนี้ทางการค้า และด้านการบริหารทางการเงิน
สำหรับความกังวลเรื่องภาวะวิกฤตทางการเงินของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่เกิดขึ้น มีผลกระทบกับยอดขายส่งออกไม่มากนัก เนื่องจากไทยยังด้รับคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น อันเป็นผลจากกรณีที่จีนมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยในสินค้าอาหารในปีที่ผ่านมา รวมทั้งเกี๊ยวกุ้งที่รุกตลาดส่งออกก็ได้รับการตอบรับจากตลาดต่างประเทศเป็นอย่างดี
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติเพิ่มการลงทุนในประเทศอินเดีย โดย CPF จะเข้าไปซื้อเงินลงทุนเพิ่มอีก 28.8% ใน Charoen Pokphand (India) Private Ltd. (CPI) ซึ่ง CPF ถือหุ้นอยู่เดิม 71.2% ของทุนที่ชำระแล้ว จะทำให้ CPF เป็นผู้ถือหุ้น 100% ในบริษัทนี้ CPI เป็นบริษัทที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่งมีโอกาสเติบโตสูง เพราะอินเดียเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ส่งผลดีต่อการถือหุ้นดังกล่าวที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
นายอดิเรกกล่าวว่าแนวโน้มผลงานครึ่งหลังปี 52 นั้น น่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรก และดีกว่าปี 51 จากการบริหารด้านประสิทธิภาพขององค์กรโดยรวม และการเติบโตของธุรกิจส่งออกสินค้าพร้อมรับประทานที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งกิจการในต่างประเทศโดยเฉพาะที่ตุรกี ก็มีแนวโน้มผลงานดีขึ้นอย่างมากจากปีก่อนด้วย