ธอส.โชว์ผลงานไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิกว่า 1 พันล้าน จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 607 ล้าน ขณะที่มียอดสินเชื่อใหม่ 2.2 หมื่นล้าน พร้อมเร่งปรับโครงสร้างหนี้ บรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจ
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2552 (ก่อนการรับรองงบการเงินจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ว่าธนาคารมีผลกำไรสุทธิ จำนวน 1,095 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 607 ล้านบาทโดยธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในไตรมาสแรกนี้ไปแล้วจำนวน 1,243 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2552 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 623,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.07% ด้านเงินฝากธนาคารมียอดเงินฝากรวม 515,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.82 % สินทรัพย์รวม 663,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.59% โดย 3 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนไปแล้วทั้งสิ้น 33,581 ราย จำนวนเงิน 22,507 ล้านบาท จากเป้าสินเชื่อทั้งปี 73,500 ล้านบาท โดยมีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) (ไม่รวมลูกหนี้ดำเนินคดี) จำนวน 63,321 ล้านบาท คิดเป็น 10.51% ของยอดสินเชื่อ (ไม่รวมลูกหนี้ดำเนินคดี) ลดลง 0.14% จากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
"ในปีนี้ธนาคารได้มีนโยบายในการติดตามดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้สวัสดิการที่มีการผ่อนชำระหนี้ปกติ (PL) แต่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงหรือไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ โดยธนาคารจะพิจารณาขยายระยะเวลาการกู้เพื่อให้เงินงวดในการผ่อนชำระน้อยลง หรือลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรือให้ผ่อนเงินงวดเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนบวกเงินต้นประมาณ 100 บาท โดยลูกค้าต้องมีหลักฐานจากหน่วยงานเจ้าของสวัสดิการมีหนังสือถึงธนาคารมาแสดงว่ามีรายได้ลดลงจากการถูกลดวัน - เวลาทำงาน ถูกลดเงินเดือน หรือถูกเลิกจ้างงาน เป็นต้น ส่วนลูกค้าที่เป็น NPL ธนาคารได้มีมาตรการผ่อนปรนโดยให้ลูกค้าผ่อนชำระเงินงวดลดลงเป็นการชั่วคราว อาทิ ให้ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราว ขยายระยะเวลาการกู้และคิดเงินงวดใหม่จากเงินต้นคงเหลือ การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษเป็นการชั่วคราวเพื่อให้ผ่อนชำระน้อยลงตามความสามารถในช่วงที่รายได้ลดลง และการปรับโครงสร้างหนี้โดยพักชำระดอกเบี้ยที่ค้างเก่าซึ่งมาตรการดังกล่าวสามารถใช้ควบคู่กันได้ ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระในการผ่อนชำระเงินงวดให้แก่ลูกค้าประชาชน"นายขรรค์กล่าว
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2552 (ก่อนการรับรองงบการเงินจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ว่าธนาคารมีผลกำไรสุทธิ จำนวน 1,095 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 607 ล้านบาทโดยธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในไตรมาสแรกนี้ไปแล้วจำนวน 1,243 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2552 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 623,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.07% ด้านเงินฝากธนาคารมียอดเงินฝากรวม 515,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.82 % สินทรัพย์รวม 663,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.59% โดย 3 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนไปแล้วทั้งสิ้น 33,581 ราย จำนวนเงิน 22,507 ล้านบาท จากเป้าสินเชื่อทั้งปี 73,500 ล้านบาท โดยมีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) (ไม่รวมลูกหนี้ดำเนินคดี) จำนวน 63,321 ล้านบาท คิดเป็น 10.51% ของยอดสินเชื่อ (ไม่รวมลูกหนี้ดำเนินคดี) ลดลง 0.14% จากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
"ในปีนี้ธนาคารได้มีนโยบายในการติดตามดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้สวัสดิการที่มีการผ่อนชำระหนี้ปกติ (PL) แต่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงหรือไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ โดยธนาคารจะพิจารณาขยายระยะเวลาการกู้เพื่อให้เงินงวดในการผ่อนชำระน้อยลง หรือลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรือให้ผ่อนเงินงวดเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนบวกเงินต้นประมาณ 100 บาท โดยลูกค้าต้องมีหลักฐานจากหน่วยงานเจ้าของสวัสดิการมีหนังสือถึงธนาคารมาแสดงว่ามีรายได้ลดลงจากการถูกลดวัน - เวลาทำงาน ถูกลดเงินเดือน หรือถูกเลิกจ้างงาน เป็นต้น ส่วนลูกค้าที่เป็น NPL ธนาคารได้มีมาตรการผ่อนปรนโดยให้ลูกค้าผ่อนชำระเงินงวดลดลงเป็นการชั่วคราว อาทิ ให้ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราว ขยายระยะเวลาการกู้และคิดเงินงวดใหม่จากเงินต้นคงเหลือ การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษเป็นการชั่วคราวเพื่อให้ผ่อนชำระน้อยลงตามความสามารถในช่วงที่รายได้ลดลง และการปรับโครงสร้างหนี้โดยพักชำระดอกเบี้ยที่ค้างเก่าซึ่งมาตรการดังกล่าวสามารถใช้ควบคู่กันได้ ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระในการผ่อนชำระเงินงวดให้แก่ลูกค้าประชาชน"นายขรรค์กล่าว