ประธานสมาคมธนาคารไทยแนะรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟด 2 ให้เร็วที่สุด ชี้จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เป็นจำนวนมาก ระบุเท่าที่สำรวจความเชื่อมั่นภาคเอกชนยังไม่ฟื้น รัฐจึงต้องเป็นหลักการในลงทุนอย่างต่อไป
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงจากตัวเศรษฐกิจที่ออกมาล่าสุด จะเห็นว่าในขณะนี้ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจยังไม่มีวี่แววที่จะฟื้นหรือปรับตัวดีขึ้น โดยจะเห็นได้จากตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงมาก ขณะที่ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในช่วง 3 เดือนแรกของปีก็ปรับตัวลดลง
"ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกรุงไทยเอง ได้มีการทำการสำรวจลูกค้าอยู่ตลอด โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อให้รับทราบถึงปัญหาและหาทางแก้ไขได้ทัน ซึ่งผลการสำรวจที่ออกมาไม่ดี และเชื่อว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าในเรื่องของเศรษฐกิจ การลงทุน และความเชื่อมั่นก็ยังไม่ดีอยู่"
ส่วนเงินที่ภาครัฐใส่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจในเฟดแรก ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพแก่ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือมาตรการอื่นๆที่ใส่เงินลงไปนี้ จะยังไม่เห็นผลในช่วงนี้ต้องรออีก 2-3 สัปดาห์ หรืออีก 1 เดือนข้างหน้า จึงจะเห็นผลว่าเป็นบวกต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างสามารถความมั่นใจแก่ภาคธุรกิจได้มากน้อยแค่ไหน
ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เท่าที่มีการมีการตรวจสอบ สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการในขณะนี้คือกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อผลิตสินค้าออกมาแล้วจะขายได้ เพราะถ้าผลิตสินค้าออกมาแล้วขายไม่ได้ หรือขายเหลือ ก็ต้องประสบกลับปัญหาการขาดทุน ดังนั้น ในภาวะเศรษฐกิจที่หดเป็นแบบนี้ จึงหนีไม่พ้นต้องอาศัยเงินลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนไม่มีกำลังเพียงพอ
ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟดที่ 2 ที่เป็นมาตรการระยะกลางออกมาให้เร็วที่สุด และเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเมื่อโครงการลงทุนภาครัฐเกิดขึ้น มีผลต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่องเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทำให้เกิดการจ้างงานเกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
"สิ่งที่สำคัญในเวลานี้ รัฐบาลต้องมีสัญญาณให้ภาคธุรกิจเห็น เรื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมันให้กับภาคธุรกิจ และมีการลงทุน และการบริโภคตามออกมา"
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงจากตัวเศรษฐกิจที่ออกมาล่าสุด จะเห็นว่าในขณะนี้ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจยังไม่มีวี่แววที่จะฟื้นหรือปรับตัวดีขึ้น โดยจะเห็นได้จากตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงมาก ขณะที่ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในช่วง 3 เดือนแรกของปีก็ปรับตัวลดลง
"ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกรุงไทยเอง ได้มีการทำการสำรวจลูกค้าอยู่ตลอด โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อให้รับทราบถึงปัญหาและหาทางแก้ไขได้ทัน ซึ่งผลการสำรวจที่ออกมาไม่ดี และเชื่อว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าในเรื่องของเศรษฐกิจ การลงทุน และความเชื่อมั่นก็ยังไม่ดีอยู่"
ส่วนเงินที่ภาครัฐใส่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจในเฟดแรก ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพแก่ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือมาตรการอื่นๆที่ใส่เงินลงไปนี้ จะยังไม่เห็นผลในช่วงนี้ต้องรออีก 2-3 สัปดาห์ หรืออีก 1 เดือนข้างหน้า จึงจะเห็นผลว่าเป็นบวกต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างสามารถความมั่นใจแก่ภาคธุรกิจได้มากน้อยแค่ไหน
ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เท่าที่มีการมีการตรวจสอบ สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการในขณะนี้คือกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อผลิตสินค้าออกมาแล้วจะขายได้ เพราะถ้าผลิตสินค้าออกมาแล้วขายไม่ได้ หรือขายเหลือ ก็ต้องประสบกลับปัญหาการขาดทุน ดังนั้น ในภาวะเศรษฐกิจที่หดเป็นแบบนี้ จึงหนีไม่พ้นต้องอาศัยเงินลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนไม่มีกำลังเพียงพอ
ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟดที่ 2 ที่เป็นมาตรการระยะกลางออกมาให้เร็วที่สุด และเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเมื่อโครงการลงทุนภาครัฐเกิดขึ้น มีผลต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่องเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทำให้เกิดการจ้างงานเกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
"สิ่งที่สำคัญในเวลานี้ รัฐบาลต้องมีสัญญาณให้ภาคธุรกิจเห็น เรื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมันให้กับภาคธุรกิจ และมีการลงทุน และการบริโภคตามออกมา"