บิวเดอ สมาร์ท ดิสทรีบิวชั่น เซนเตอร์ เตรียมยื่นไฟลิ่งตุลาคมนี้ เพื่อระดมทุนไปใช้พัฒนาระบบเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพและขยายงาน ขณะที่ TNDT คาดเข้าซื้อขายได้ไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนอีก 3 บริษัทปัดฝุ่นเตรียมระดมทุนในอนาคต
นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บิวเดอ สมาร์ท ดิสทรีบิวชั่น เซนเตอร์ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอ ไอ(mai)คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้ปลายเดือนตุลาคมนี้และจะสามารถเข้าซื้อขายได้ช่วงปลายปีนี้ซึ่งได้แต่งตั้งให้บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัดหรือ APM เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับวัตถุประสงค์ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดmai
เพื่อทำให้ธุรกิจของบริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างมีศักยภาพและเป็นโอกาสที่ดีในการทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในธุรกิจส่วนหนึ่งต้องการนำไปพัฒนาระบบเทคโนโลยีของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพราะสถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 50 เติบโตอยู่ที่ 350ล้านบาทจากปี 49 ที่มีรายได้อยู่ที่ 276 ล้านบาทแบ่งเป็นรายได้ที่มาจากตลาดคอนโดมิเนียมสัดส่วน 40%,ตลาดสำนักงาน-อาคารพาณิช 50% และอื่นๆ 10%ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,000รายส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและจังหวัดภูเก็ต
โดยบริษัทมีแผนขยายตลาดไปยัง อินเดียซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ 2 แห่ง นอกจากนี้ยังมีที่เวียดนามโดยคาดว่าจะเริ่มปลายปีนี้ถึงต้นปี 51 ส่วน แผนระยะสั้นปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขางบลงทุนสาขาละ 5 ล้านบาททั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจากปัจจุบันมีอยู่ที่กรุงเทพฯ 1สาขาและที่จังหวัดภูเก็ต ส่วนสินค้าใหม่จะนำเข้าจากต่างประเทศในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่งผลให้สัดส่วนนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ 20% ที่เหลือคือผลิตในประเทศ
" กลุ่มลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมา,นักออกแบบตกแต่งภายในอาคารที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มตลาดของบริษัทคือตลาดที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์โดยบริษัทจะเน้นงานด้านคอนโดมีเนียมเนื่องจากโอกาสในการเติบโตยังมีอีกมาก " นายสัญชัยกล่าว
นางชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยเอ็น ดีที จำกัด (มหาชน) หรือ TNDT เปิดเผยว่าหากไม่มีปัจจัยใหม่กระทบรุนแรงคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดmaiได้ช่วงไตรมาส3 ปีนี้ โดยบริษัทได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(ไอพีโอ) 20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 1 บาทซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพิ่มเป็น100 ล้านบาท โดยได้แต่งตั้งให้บริษัทแอสเซทโปรแมเนจเม้นท์ จำกัดเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 200 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่ม 20 % เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 154 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่มาจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตของภาวะอุตสาหกรรมทางด้านพลังงานปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากลูกค้าภายในประเทศคิดเป็น 90% ที่เหลือเป็นจากต่างประเทศ และปีนี้บริษัทจะเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยปีนี้สัดส่วนน่าจะเพิ่มขึ้นอีก 5 % ขณะที่สัดส่วนรายได้ภายในประเทศก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง
นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัทมีนาทรานสปอร์ต จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai คาดว่าภายใน 2 ปีจะสามารถเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนได้ เพราะต้องเงินทุนไปเพิ่มสินทรัพย์ประเภทรถขนส่งเพื่อรองรับโครงการในอนาคต จากปัจจุบันมีรถขนส่ง 300 คัน
และหากมีเงินสดเพียงพอจะนำมาชำระหนี้บางส่วนเพื่ออัตราดอกเบี้ยรวมทั้งบริษัทอยากให้มีผู้มีความสามารถงานด้านรับจ้างขนส่งเข้ามาช่วยดูแลกิจการจากปัจจุบันบริษัทถือหุ้น100% ปัจจุบันบริษัทมียอดขายต่อเดือนอยู่ที่ 20 ล้านบาทโดยตั้งเป้าว่าปีนี้จะมีรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 240 ล้านบาท หรือเติบโต 5% ซึ่งลูกค้าหลักของบริษัททั้งขนาดใหญ่และกลาง 5-6 รายที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่องและบริหารความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันด้วยทำข้อตกลงกันล่วงหน้าหากราคาน้ำมันมีการขึ้น-ลงทุก 1%
นายสุรพล รุจิกาญจนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัททิล ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเล็งที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนด้วย แต่ก็ไม่รีบร้อน เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่าง เจรจากับพันธมิตร เพื่อที่จะเข้าร่วมงานกัน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทได้ใช้ลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย
" การแข่งขันของธุรกิจสีรุนแรง เราต้องการหาตลาดใหม่ ด้วยการบุกตลาดต่างประเทศ แต่ ก็ต้องได้รับอนุมัติจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน เนื่องจากที่ตกลงกันไว้ในสัญญานั้น เราทำเพื่อจำหน่ายในประเทศเท่านั้น " นายสุรพลกล่าว
ดังนั้น หากดีลนี้สำเร็จก็ถือเป็นแรงหนุนที่จะทำให้แผนการระดมทุนของบริษัทได้เร็วขึ้นด้วย ซึ่ง คาดว่าการเจรจาดังกล่าวจะสรุปผลได้ปลายปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทก็รอดูเหตุการณ์ทางการเมืองให้ชัดเจน เพื่อให้บรรยากาศเหมาะสมลงทุน และทำให้นักลงทุนหันมาสนใจมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเอื้อต่อการขายหุ้น IPO
สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 300 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนประมาณ 20-30% ส่วนปี 51 คาดว่าจะเติบโตเพียง 10% ซึ่งบริษัทเข้าบิดงานปีละ 800-1,000 ล้านบาทและ ได้งานประมาณ 20 %
อย่างไรก็ดี แผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนนั้น คงไม่ทันยื่นไฟลิ่งในปีนี้ คาดว่าจะเห็นได้ในปีถัดไป โดยหากต้องระดมทุน บริษัทจะนำไปใช้ในการขายกำลังการผลิต และขยายตลาด และในส่วนของการถือหุ้นนายสุรพลก็พร้อมไดรูทเหลือเพียง 10-20% จากปัจจุบันที่ถืออยู่ 27% และ บริษัท วัททิล ไดเมท (สยาม) จำกัด มีทุนจดทะเบียน 70 ล้านบาท
นายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั้วเส็ง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทเตรียมการเจาะตลาดในชุมชนหมู่บ้านจัดสรรมากขึ้น แทนการขยายห้างสรรพสินค้า เพราะการแข่งขันสูง
โดยบริษัทจะเปิดเป็นร้านสะดวกซื้อภายใต้ชื่อ GET IT MINI SUPERMARKET ที่จะรวบรวมสินค้าประเภทอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปที่จัดเป็นแพค เพื่อง่ายและสะดวกต่อการจำหน่ายและการนำไปปรุงเป็นอาหารของลูกค้า และจะมีความแตกต่างจากร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยใช้เงินลงทุนแห่งละ 2-3 ล้านบาท โดยคาดว่าจะขยายปีละ 2-3 สาขา และผลงานในปี 49 นั้น ยอดขายของบริษัทไม่เพิ่ม แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลงานในปี 50 แนวโน้มดีกว่าปีที่ผ่านมา
ส่วนแผนการกระจายหุ้นนั้น รออีกระยะหนึ่ง เมื่อต้องการขยายงานและต้องการเงินทุนเพื่อใช้ ซึ่งบริษัทก็มีแผนที่จะระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ mai ในอนาคต
นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บิวเดอ สมาร์ท ดิสทรีบิวชั่น เซนเตอร์ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอ ไอ(mai)คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้ปลายเดือนตุลาคมนี้และจะสามารถเข้าซื้อขายได้ช่วงปลายปีนี้ซึ่งได้แต่งตั้งให้บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัดหรือ APM เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับวัตถุประสงค์ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดmai
เพื่อทำให้ธุรกิจของบริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างมีศักยภาพและเป็นโอกาสที่ดีในการทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในธุรกิจส่วนหนึ่งต้องการนำไปพัฒนาระบบเทคโนโลยีของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพราะสถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 50 เติบโตอยู่ที่ 350ล้านบาทจากปี 49 ที่มีรายได้อยู่ที่ 276 ล้านบาทแบ่งเป็นรายได้ที่มาจากตลาดคอนโดมิเนียมสัดส่วน 40%,ตลาดสำนักงาน-อาคารพาณิช 50% และอื่นๆ 10%ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,000รายส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและจังหวัดภูเก็ต
โดยบริษัทมีแผนขยายตลาดไปยัง อินเดียซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ 2 แห่ง นอกจากนี้ยังมีที่เวียดนามโดยคาดว่าจะเริ่มปลายปีนี้ถึงต้นปี 51 ส่วน แผนระยะสั้นปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขางบลงทุนสาขาละ 5 ล้านบาททั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจากปัจจุบันมีอยู่ที่กรุงเทพฯ 1สาขาและที่จังหวัดภูเก็ต ส่วนสินค้าใหม่จะนำเข้าจากต่างประเทศในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่งผลให้สัดส่วนนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ 20% ที่เหลือคือผลิตในประเทศ
" กลุ่มลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมา,นักออกแบบตกแต่งภายในอาคารที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มตลาดของบริษัทคือตลาดที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์โดยบริษัทจะเน้นงานด้านคอนโดมีเนียมเนื่องจากโอกาสในการเติบโตยังมีอีกมาก " นายสัญชัยกล่าว
นางชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยเอ็น ดีที จำกัด (มหาชน) หรือ TNDT เปิดเผยว่าหากไม่มีปัจจัยใหม่กระทบรุนแรงคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดmaiได้ช่วงไตรมาส3 ปีนี้ โดยบริษัทได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(ไอพีโอ) 20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 1 บาทซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพิ่มเป็น100 ล้านบาท โดยได้แต่งตั้งให้บริษัทแอสเซทโปรแมเนจเม้นท์ จำกัดเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 200 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่ม 20 % เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 154 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่มาจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตของภาวะอุตสาหกรรมทางด้านพลังงานปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากลูกค้าภายในประเทศคิดเป็น 90% ที่เหลือเป็นจากต่างประเทศ และปีนี้บริษัทจะเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยปีนี้สัดส่วนน่าจะเพิ่มขึ้นอีก 5 % ขณะที่สัดส่วนรายได้ภายในประเทศก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง
นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัทมีนาทรานสปอร์ต จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai คาดว่าภายใน 2 ปีจะสามารถเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนได้ เพราะต้องเงินทุนไปเพิ่มสินทรัพย์ประเภทรถขนส่งเพื่อรองรับโครงการในอนาคต จากปัจจุบันมีรถขนส่ง 300 คัน
และหากมีเงินสดเพียงพอจะนำมาชำระหนี้บางส่วนเพื่ออัตราดอกเบี้ยรวมทั้งบริษัทอยากให้มีผู้มีความสามารถงานด้านรับจ้างขนส่งเข้ามาช่วยดูแลกิจการจากปัจจุบันบริษัทถือหุ้น100% ปัจจุบันบริษัทมียอดขายต่อเดือนอยู่ที่ 20 ล้านบาทโดยตั้งเป้าว่าปีนี้จะมีรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 240 ล้านบาท หรือเติบโต 5% ซึ่งลูกค้าหลักของบริษัททั้งขนาดใหญ่และกลาง 5-6 รายที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่องและบริหารความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันด้วยทำข้อตกลงกันล่วงหน้าหากราคาน้ำมันมีการขึ้น-ลงทุก 1%
นายสุรพล รุจิกาญจนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัททิล ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเล็งที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนด้วย แต่ก็ไม่รีบร้อน เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่าง เจรจากับพันธมิตร เพื่อที่จะเข้าร่วมงานกัน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทได้ใช้ลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย
" การแข่งขันของธุรกิจสีรุนแรง เราต้องการหาตลาดใหม่ ด้วยการบุกตลาดต่างประเทศ แต่ ก็ต้องได้รับอนุมัติจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน เนื่องจากที่ตกลงกันไว้ในสัญญานั้น เราทำเพื่อจำหน่ายในประเทศเท่านั้น " นายสุรพลกล่าว
ดังนั้น หากดีลนี้สำเร็จก็ถือเป็นแรงหนุนที่จะทำให้แผนการระดมทุนของบริษัทได้เร็วขึ้นด้วย ซึ่ง คาดว่าการเจรจาดังกล่าวจะสรุปผลได้ปลายปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทก็รอดูเหตุการณ์ทางการเมืองให้ชัดเจน เพื่อให้บรรยากาศเหมาะสมลงทุน และทำให้นักลงทุนหันมาสนใจมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเอื้อต่อการขายหุ้น IPO
สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 300 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนประมาณ 20-30% ส่วนปี 51 คาดว่าจะเติบโตเพียง 10% ซึ่งบริษัทเข้าบิดงานปีละ 800-1,000 ล้านบาทและ ได้งานประมาณ 20 %
อย่างไรก็ดี แผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนนั้น คงไม่ทันยื่นไฟลิ่งในปีนี้ คาดว่าจะเห็นได้ในปีถัดไป โดยหากต้องระดมทุน บริษัทจะนำไปใช้ในการขายกำลังการผลิต และขยายตลาด และในส่วนของการถือหุ้นนายสุรพลก็พร้อมไดรูทเหลือเพียง 10-20% จากปัจจุบันที่ถืออยู่ 27% และ บริษัท วัททิล ไดเมท (สยาม) จำกัด มีทุนจดทะเบียน 70 ล้านบาท
นายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั้วเส็ง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทเตรียมการเจาะตลาดในชุมชนหมู่บ้านจัดสรรมากขึ้น แทนการขยายห้างสรรพสินค้า เพราะการแข่งขันสูง
โดยบริษัทจะเปิดเป็นร้านสะดวกซื้อภายใต้ชื่อ GET IT MINI SUPERMARKET ที่จะรวบรวมสินค้าประเภทอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปที่จัดเป็นแพค เพื่อง่ายและสะดวกต่อการจำหน่ายและการนำไปปรุงเป็นอาหารของลูกค้า และจะมีความแตกต่างจากร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยใช้เงินลงทุนแห่งละ 2-3 ล้านบาท โดยคาดว่าจะขยายปีละ 2-3 สาขา และผลงานในปี 49 นั้น ยอดขายของบริษัทไม่เพิ่ม แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลงานในปี 50 แนวโน้มดีกว่าปีที่ผ่านมา
ส่วนแผนการกระจายหุ้นนั้น รออีกระยะหนึ่ง เมื่อต้องการขยายงานและต้องการเงินทุนเพื่อใช้ ซึ่งบริษัทก็มีแผนที่จะระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ mai ในอนาคต