ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างทุกรายต่างตีปีก ดีอกดีใจ กับการออกมาตรการภาษีกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะธุรกิจวัสดุก่อสร้างเป็นธุรกิจต่อเนื่องของตลาดอสังหาฯริมทรัพย์ที่อยู่ต้นน้ำอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาฯออกมาจึงสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการขยายตัวของยอดการใช้วัสดุก่อสร้างที่สดใส
แต่หลังจากช่วงไตรมาส2ของปีผ่านพ้นไปเท่านั้นผู้ประกอบการทั้งในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจวัสดุก่อสร้างต่างต้องทำใจ และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ยอดขายหดตัวต่อเนื่อง จากแนวโน้มการปรับตัวของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ส่งผลต่อราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลต่อการาตัดสินใจซื้อของงลูกค้าที่อยู่อาศัย ละยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจก่อสร้างในประเทศยังชะงักงัน จากผลกระทบการปรับตัวของวัสดุก่อสร้างเนื่องจากเอกชนชะลอการพัฒนาโครงการออกไป
ทั้งนี้ การปรับตัวของราคาน้ำมันในช่วงไตรมาสที่2-3 ของปีทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างบางตัวพุ่งกระฉูดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว อาทิ ราคาเหล็กที่ปรับขึ้นกว่า 1เท่าตัวหรือประมาณ 100% แต่ก็มีวัสดุก่อสร้างหลายๆ ตัวที่นอกจากต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นไปได้อย่างเช่นปูนซีเมนต์ และ กระเบื้องเซรามิค เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง เพราะตลาดรวมมีกำลังการผลิตที่เกินกว่าความต้องการอยู่ ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวรับมือการหดตัวของยอดขายที่ลดลงด้วย
และที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือช่วงปลายปี ที่ปัญหาการเมืองประทุแรงจนและวิกฤตการเงินโลก ที่ส่งผลกระทบทั้งธุรกิจส่งออก ท่องเที่ยว และอสังหาฯอย่างหนัก จนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ออกมาประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าว่าจะขยายตัวถดถอยโดตจะเติบโตแค่ 0-2% หรือหากสถานการณ์วิกฤตการเงินโลกเลวร้ายหนักก็อาจจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศติดลบก็เป็นได้
เนื่องจากในปีหน้าภาคธุรกิจต่างๆ จะชะลอการลงทุนออกไปทำให้เศรษฐกิจโดยรวมไม่มีการขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบด้านความเชื่อมั่น ทำให้ลูกค้าชะลออการตัดสินใจซื้อออกไป ปัญหาของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อีกอย่างที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง คือการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการและสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้การตัดสินใจพัฒนาโครงการต่างๆ ของธุรกิจอสังหาฯต้องระมัดระวังอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการรักษาสภาพคล่องทางการเงินของแต่บริษัท แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมากลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะรับข่าวดีทั้งจากการเตรียมออกมาตรการจากภาครัฐในการกระตุ้นภาคอสังหาฯและราคาวัสดุก่อสร้างทุกตัวจะลงค่อนข้างมาก
แต่ความเชื่อมั่นของลูกค้ายังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นกลับมา ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาไม่ขึ้นโครงการใหม่ หรือหากมีการพัฒนาโครงการจะต้องมีการต่อรองกับกลุ่มผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างในเรื่องของระยะเวลาการชำระเงิน ซึ่งจะสงผลต่อการส่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากกลุ่มซับพลายเออร์โดยตรง ปัญหาก็คือ เมื่อกลุ่มอสังหาฯและรับเหมาก่อสร้างต้องรัดเข็มขัด กลุ่มผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้สามารถรักสายอดขายและรักษาลูกค้าไว้ในมือให้ได้ นอกจากนี้ ยังมีโจทย์สำคัญคือการรักษาสภาพคล่องของตัวเองให้มีต่อเนื่องให้ได้
สำหรับตลาดเหล็กนั้นในปีหน้าคาดว่าจะดีรับกระทบต่อเนื่อง จากการสต็อกเหล็กไว้ เพื่อป้องกันการผันผวนทางต้นทุนเหล็กในการก่อสร้างของผู้ประกอบการอสังหาฯเมื่อช่วงกลางปี ซึ่งหลายๆรายยังใช้สต็อกไม่หมด ดังนั้นในปีหน้าจำนวนการใช้ เหล็กน่าจะลดลงเมื่อผนวกกับปัญหาการชะลอการลงทุนของทุกๆธุรกิจ ส่วนยอดการสั่งซื้อใหม่คาดว่าจะลดลงกว่าปีนี้กว่า 50%
ส่วนตลาดปูนซีเมนต์นั้น เนื่องจากกำลังการผลิตที่เกินความต้องการของตลาดในประเทศทำให้ผู้ประกอบการมองว่าตลาดปีหน้าจะแข่งขันสูงขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของตลาดผู้บริโภคโดยตรง เนื่องจากภาคเอกชนชะลอการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามผู้ผลิตปูนยังมีความหวังจากแนวโน้มการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลในปีหน้าที่คาดว่ารัฐบาล จะทุ่มเม็ดเงินในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงการเมกะโปรเจกต์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ทำให้ยังประมาณการว่าในปีหน้าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะโดยตลาดจะขยายตัวติดลบประมาณ5% หรือทรงตัวเท่ากับปี51
นอกจากนี้กลุ่มผู้ประกอบการปูนซิเมนต์ยังเตรียมแนวทางการขยายช่องทางตลาด เพื่อรักษายอดขายไว้ล่วงหน้าโดยการขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เตรียมเปิดตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น ส่วนการเพิ่มกำลังผลิตขยายการลงทุนคาดว่าจะระงบออกไปก่อน
ทั้งนี้ กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในตลาดรวมปี51มีอยู่ 53.6 ล้านตัน ส่งออก 18.2 ล้านตัน ใช้ภายในประเทศ 26-27 ล้านตัน โดยตั้งแต่ปี 2543-2545 ปริมาณการใช้ ปูนซีเมนต์ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง แม้ต่อมาปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก นอกจากนี้จากนี้ไปจนในช่วงสิ้นปี ปริมาณการใช้ลดลงจากครึ่งปีแรกกว่า5.6% ส่วนทั้งปี น่าจะลดลงเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% ขณะที่ การส่งออกก็น่าจะมีปริมาณลดลงจาก 18 ล้านตัน เหลือ 16 ล้านตัน
ในขณะที่ตลาดกระเบื้องเซรามิค ส่อแววว่าจะทรุดตัวยาว หลังตลาดอสังหาฯได้ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองอย่างหนัก ส่งผลความต้องการใช้ลดวูบ วึ่งแม้แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง คอตโต้ เองในช่วงท้ายปีนี้ยังมีการ จัดแคมเปญใหญ่ เล่นกับผู้บริโภคโดยตรงเป็นครั้งแรก จากที่ก่อนหน้าไม่เคยมีการทำตลาดเช่นนี้มาก่อน และคาดว่าในปีหน้าเองการทำแคมเปญเช่นนี้ในกลุ่มกระเบื้องเซรามิคจะมีให้เห็นเพิ่มมากขึ้น
ส่วนกระเบื้องตราเพชร ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระเบื้องหลังคารายใหญ่ของประเทศ ก็เตรียมแผนรับมือภาวะการหดตัวของตลาดอสังหาฯ โดยการยืนราคาขายให้กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯนานถึง6เดือนแรกของปีหน้า รวมถึงการแตกไลน์สินค้ากลุ่มฝ้า-ผนัง เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้ารักษายอดขายให้มีอัตรากรรเติบโตจากปีนี้ ส่วนการทำตลาดกระเบื้องหลังคาก็จะเน้นจับกุ่มรายย่อยมากขึ้น ซึ่งเป็นการขยายช่องทางตลาดให้กว้างขึ้นไปอีก
แม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะเตรียมการปรับตัว หาทางออกเพื่อรักษายอดขายในปีหน้าไว้ให้ได้แต่ ปัญหาหนึ่งที่ผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างต้องคิดกันให้หนัก คือปัญหาการให้เครดิตเงินสดในการซื้อสินค้าแก่กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากต้องระวังเรื่องกระแสเงินสดหรือสภาพคล่องของบริษัททีอาจจะยืดออกไปอีก จากการชะลอการซื้อของลูกค้าในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลดลงของกำลังซื้อ ซึ่งจะทำให้ การพัฒนาโครงการหรือการก่อสร้างของผู้รับเหมายืดออกไป
แต่หลังจากช่วงไตรมาส2ของปีผ่านพ้นไปเท่านั้นผู้ประกอบการทั้งในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจวัสดุก่อสร้างต่างต้องทำใจ และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ยอดขายหดตัวต่อเนื่อง จากแนวโน้มการปรับตัวของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ส่งผลต่อราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลต่อการาตัดสินใจซื้อของงลูกค้าที่อยู่อาศัย ละยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจก่อสร้างในประเทศยังชะงักงัน จากผลกระทบการปรับตัวของวัสดุก่อสร้างเนื่องจากเอกชนชะลอการพัฒนาโครงการออกไป
ทั้งนี้ การปรับตัวของราคาน้ำมันในช่วงไตรมาสที่2-3 ของปีทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างบางตัวพุ่งกระฉูดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว อาทิ ราคาเหล็กที่ปรับขึ้นกว่า 1เท่าตัวหรือประมาณ 100% แต่ก็มีวัสดุก่อสร้างหลายๆ ตัวที่นอกจากต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นไปได้อย่างเช่นปูนซีเมนต์ และ กระเบื้องเซรามิค เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง เพราะตลาดรวมมีกำลังการผลิตที่เกินกว่าความต้องการอยู่ ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวรับมือการหดตัวของยอดขายที่ลดลงด้วย
และที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือช่วงปลายปี ที่ปัญหาการเมืองประทุแรงจนและวิกฤตการเงินโลก ที่ส่งผลกระทบทั้งธุรกิจส่งออก ท่องเที่ยว และอสังหาฯอย่างหนัก จนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ออกมาประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าว่าจะขยายตัวถดถอยโดตจะเติบโตแค่ 0-2% หรือหากสถานการณ์วิกฤตการเงินโลกเลวร้ายหนักก็อาจจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศติดลบก็เป็นได้
เนื่องจากในปีหน้าภาคธุรกิจต่างๆ จะชะลอการลงทุนออกไปทำให้เศรษฐกิจโดยรวมไม่มีการขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบด้านความเชื่อมั่น ทำให้ลูกค้าชะลออการตัดสินใจซื้อออกไป ปัญหาของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อีกอย่างที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง คือการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการและสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้การตัดสินใจพัฒนาโครงการต่างๆ ของธุรกิจอสังหาฯต้องระมัดระวังอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการรักษาสภาพคล่องทางการเงินของแต่บริษัท แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมากลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะรับข่าวดีทั้งจากการเตรียมออกมาตรการจากภาครัฐในการกระตุ้นภาคอสังหาฯและราคาวัสดุก่อสร้างทุกตัวจะลงค่อนข้างมาก
แต่ความเชื่อมั่นของลูกค้ายังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นกลับมา ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาไม่ขึ้นโครงการใหม่ หรือหากมีการพัฒนาโครงการจะต้องมีการต่อรองกับกลุ่มผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างในเรื่องของระยะเวลาการชำระเงิน ซึ่งจะสงผลต่อการส่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากกลุ่มซับพลายเออร์โดยตรง ปัญหาก็คือ เมื่อกลุ่มอสังหาฯและรับเหมาก่อสร้างต้องรัดเข็มขัด กลุ่มผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้สามารถรักสายอดขายและรักษาลูกค้าไว้ในมือให้ได้ นอกจากนี้ ยังมีโจทย์สำคัญคือการรักษาสภาพคล่องของตัวเองให้มีต่อเนื่องให้ได้
สำหรับตลาดเหล็กนั้นในปีหน้าคาดว่าจะดีรับกระทบต่อเนื่อง จากการสต็อกเหล็กไว้ เพื่อป้องกันการผันผวนทางต้นทุนเหล็กในการก่อสร้างของผู้ประกอบการอสังหาฯเมื่อช่วงกลางปี ซึ่งหลายๆรายยังใช้สต็อกไม่หมด ดังนั้นในปีหน้าจำนวนการใช้ เหล็กน่าจะลดลงเมื่อผนวกกับปัญหาการชะลอการลงทุนของทุกๆธุรกิจ ส่วนยอดการสั่งซื้อใหม่คาดว่าจะลดลงกว่าปีนี้กว่า 50%
ส่วนตลาดปูนซีเมนต์นั้น เนื่องจากกำลังการผลิตที่เกินความต้องการของตลาดในประเทศทำให้ผู้ประกอบการมองว่าตลาดปีหน้าจะแข่งขันสูงขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของตลาดผู้บริโภคโดยตรง เนื่องจากภาคเอกชนชะลอการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามผู้ผลิตปูนยังมีความหวังจากแนวโน้มการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลในปีหน้าที่คาดว่ารัฐบาล จะทุ่มเม็ดเงินในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงการเมกะโปรเจกต์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ทำให้ยังประมาณการว่าในปีหน้าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะโดยตลาดจะขยายตัวติดลบประมาณ5% หรือทรงตัวเท่ากับปี51
นอกจากนี้กลุ่มผู้ประกอบการปูนซิเมนต์ยังเตรียมแนวทางการขยายช่องทางตลาด เพื่อรักษายอดขายไว้ล่วงหน้าโดยการขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เตรียมเปิดตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น ส่วนการเพิ่มกำลังผลิตขยายการลงทุนคาดว่าจะระงบออกไปก่อน
ทั้งนี้ กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในตลาดรวมปี51มีอยู่ 53.6 ล้านตัน ส่งออก 18.2 ล้านตัน ใช้ภายในประเทศ 26-27 ล้านตัน โดยตั้งแต่ปี 2543-2545 ปริมาณการใช้ ปูนซีเมนต์ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง แม้ต่อมาปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก นอกจากนี้จากนี้ไปจนในช่วงสิ้นปี ปริมาณการใช้ลดลงจากครึ่งปีแรกกว่า5.6% ส่วนทั้งปี น่าจะลดลงเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% ขณะที่ การส่งออกก็น่าจะมีปริมาณลดลงจาก 18 ล้านตัน เหลือ 16 ล้านตัน
ในขณะที่ตลาดกระเบื้องเซรามิค ส่อแววว่าจะทรุดตัวยาว หลังตลาดอสังหาฯได้ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองอย่างหนัก ส่งผลความต้องการใช้ลดวูบ วึ่งแม้แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง คอตโต้ เองในช่วงท้ายปีนี้ยังมีการ จัดแคมเปญใหญ่ เล่นกับผู้บริโภคโดยตรงเป็นครั้งแรก จากที่ก่อนหน้าไม่เคยมีการทำตลาดเช่นนี้มาก่อน และคาดว่าในปีหน้าเองการทำแคมเปญเช่นนี้ในกลุ่มกระเบื้องเซรามิคจะมีให้เห็นเพิ่มมากขึ้น
ส่วนกระเบื้องตราเพชร ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระเบื้องหลังคารายใหญ่ของประเทศ ก็เตรียมแผนรับมือภาวะการหดตัวของตลาดอสังหาฯ โดยการยืนราคาขายให้กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯนานถึง6เดือนแรกของปีหน้า รวมถึงการแตกไลน์สินค้ากลุ่มฝ้า-ผนัง เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้ารักษายอดขายให้มีอัตรากรรเติบโตจากปีนี้ ส่วนการทำตลาดกระเบื้องหลังคาก็จะเน้นจับกุ่มรายย่อยมากขึ้น ซึ่งเป็นการขยายช่องทางตลาดให้กว้างขึ้นไปอีก
แม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะเตรียมการปรับตัว หาทางออกเพื่อรักษายอดขายในปีหน้าไว้ให้ได้แต่ ปัญหาหนึ่งที่ผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างต้องคิดกันให้หนัก คือปัญหาการให้เครดิตเงินสดในการซื้อสินค้าแก่กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากต้องระวังเรื่องกระแสเงินสดหรือสภาพคล่องของบริษัททีอาจจะยืดออกไปอีก จากการชะลอการซื้อของลูกค้าในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลดลงของกำลังซื้อ ซึ่งจะทำให้ การพัฒนาโครงการหรือการก่อสร้างของผู้รับเหมายืดออกไป