SALEE เผยปี 52 เน้นธุรกิจพริ้นติ้งท์-ออกสินค้าใหม่ คาดดันรายได้โต 10-15% ยอดขายพุ่งแตะ 1 พันล้าน
วันนี้ (17 ธันวาคม 2551) นายสาทิส ตัตวธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทจะมีการปรับเปลี่ยนการสร้างรายได้มาเน้นธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกแบบฉีดหรือพริ้นท์ติ้ง แทนการสร้างรายได้จากชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์ เนื่องจากแนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอส่งผลต่อแนวโน้มของสินค้าดังกล่าวปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน
สำหรับสินค้าประแภทพรินติ้งท์จะเป็นตัวสร้างกำไรที่ดีขึ้นในปีหน้า เนื่องจากความต้องการรูปแบบของสินค้าที่ปรับเปลี่ยนไปและมีมากขึ้น อีกทั้งยังมีการออกสินค้าใหม่ คือ สินค้าฉลากผลิตพร้อมกระบวนบรรจุภัณฑ์ (Inmold) ที่มีมาร์จินสูงขึ้นไปกว่ามาร์จิ้นของพริ้นท์ติ้งที่อยู่ในระดับ 30-35% โดยสามารถใช้เครื่องจักรเดิมในการผลิตไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม
นายสาทิศ กล่าวว่า แผนธุรกิจดังกล่าวจะเป็นปัจจัยทำให้การเติบโตของกำไรในปีหน้าน่าจะดีขึ้นรวมถึงรายได้ก็จะเติบโตไปด้วย โดยบริษัทมองการเติบโตในปีหน้าที่ 10-15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขายใกล้เคียงที่ 1 พันล้านบาทได้ ขณะที่กำไรปีนี้เชื่อว่าจะดีกว่าปีก่อน เพราะ 9 เดือนที่ผ่านมามีกำไรแล้ว 47 ล้านบาท
"ในสถานการณ์อย่างนี้ถือว่าเราโชคดีที่เรายังสามารถประคองธุรกิจและเติบโตได้ถึงแม้การเติบโตไม่ได้มากมายแต่ก็ยังเชื่อว่าไม่น้อยกว่า 10% และการที่เรามีธุรกิจหลายเซคเมนท์ เมื่อ segment อิเล็คทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์หดตัวก็ยังมีธุรกิจพริ้นท์ติ้งและอื่นๆ เข้ามาชดเชยได้
สำหรับ บริษัท สาลี่ คัลเลอร์ ที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 8-10% นั้น นายสาทิส กล่าวว่า พร้อมจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ซึ่งขณะนี้ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว คาดว่าจะเข้าระดมทุนได้ในปี 52 โดยหลังขาย IPO จะมีทุนจดทะเบียน 145.25 ล้านบาทจาก 115.25 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท โดยมี บล.ฟิลิป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วันนี้ (17 ธันวาคม 2551) นายสาทิส ตัตวธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทจะมีการปรับเปลี่ยนการสร้างรายได้มาเน้นธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกแบบฉีดหรือพริ้นท์ติ้ง แทนการสร้างรายได้จากชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์ เนื่องจากแนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอส่งผลต่อแนวโน้มของสินค้าดังกล่าวปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน
สำหรับสินค้าประแภทพรินติ้งท์จะเป็นตัวสร้างกำไรที่ดีขึ้นในปีหน้า เนื่องจากความต้องการรูปแบบของสินค้าที่ปรับเปลี่ยนไปและมีมากขึ้น อีกทั้งยังมีการออกสินค้าใหม่ คือ สินค้าฉลากผลิตพร้อมกระบวนบรรจุภัณฑ์ (Inmold) ที่มีมาร์จินสูงขึ้นไปกว่ามาร์จิ้นของพริ้นท์ติ้งที่อยู่ในระดับ 30-35% โดยสามารถใช้เครื่องจักรเดิมในการผลิตไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม
นายสาทิศ กล่าวว่า แผนธุรกิจดังกล่าวจะเป็นปัจจัยทำให้การเติบโตของกำไรในปีหน้าน่าจะดีขึ้นรวมถึงรายได้ก็จะเติบโตไปด้วย โดยบริษัทมองการเติบโตในปีหน้าที่ 10-15% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขายใกล้เคียงที่ 1 พันล้านบาทได้ ขณะที่กำไรปีนี้เชื่อว่าจะดีกว่าปีก่อน เพราะ 9 เดือนที่ผ่านมามีกำไรแล้ว 47 ล้านบาท
"ในสถานการณ์อย่างนี้ถือว่าเราโชคดีที่เรายังสามารถประคองธุรกิจและเติบโตได้ถึงแม้การเติบโตไม่ได้มากมายแต่ก็ยังเชื่อว่าไม่น้อยกว่า 10% และการที่เรามีธุรกิจหลายเซคเมนท์ เมื่อ segment อิเล็คทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์หดตัวก็ยังมีธุรกิจพริ้นท์ติ้งและอื่นๆ เข้ามาชดเชยได้
สำหรับ บริษัท สาลี่ คัลเลอร์ ที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 8-10% นั้น นายสาทิส กล่าวว่า พร้อมจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ซึ่งขณะนี้ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว คาดว่าจะเข้าระดมทุนได้ในปี 52 โดยหลังขาย IPO จะมีทุนจดทะเบียน 145.25 ล้านบาทจาก 115.25 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท โดยมี บล.ฟิลิป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน