เวิลด์แบงก์ แนะรัฐบาลใหม่กู้เงินเพิ่ม หลังประกาศปรับลดคาดการณ์ "จีดีพี" ในปี 2552 เหลือแค่ 2% ระบุ หนี้สาธารณะของไทยยังต่ำ เปิดช่องกู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
วันนี้ (11 ธันวาคม 2551) นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลใหม่สามารถเพิ่มการลงทุนได้โดยไม่กระทบต่อวินัยการเงินการคลัง เนื่องจากขณะนี้ภาระหนี้สาธารณะมีเพียง 36% ต่อจีดีพี ห่างจากเพดานที่คุมไว้ที่ 50%
ทั้งนี้ รัฐบาลควรใช้เงินที่เพิ่มขึ้นอัดฉีดแก้ปัญหาให้ตรงจุด เลือกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบก่อน ได้แก่ คนว่างงาน คนจน ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม และขยายสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่กำลังขาดสภาพคล่อง
นางสาวกิริฎา กล่าวว่า สถานะของประเทศไทยในขณะนี้ ถือว่า ยังดีกว่าอีกหลายประเทศ ที่กำลังได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะไทยมีหนี้สินต่ำ และทุนสำรองสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเป็นจังหวะดีในการปรับปรุงเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รองรับเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวในปี 2553
ธนาคารโลก เชื่อว่า หากรัฐบาลใหม่ของไทย เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ก็จะอยู่ในฐานะที่ดีกว่าประเทศอื่น และปูทางไปสู่ความแข็งแกร่งได้
นอกจากนี้ รัฐบาลควรมองถึงแผนลงทุนระยะกลางถึงยาว ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านขนส่งและดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาลงทุน และเร่งนโยบายด้านการค้าเพื่อเปิดตลาดในต่างประเทศ
ธนาคารโลกยังเสนอด้วยว่า รัฐบาลควรเพิ่มทักษะแรงงานที่ยังขาดประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นอีก 3-4 ปีข้างหน้า เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจโลกคลี่คลาย ประเทศไทยจะไม่สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้
ก่อนหน้านี้ ธนาคารโลกได้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.9 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 5 โดยเฉพาะเหตุการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งจนกว่าจะมีการแต่งตั้งนายกคนใหม่ และเชื่อว่า จะมีแรงกดดันจากการเศรษฐกิจโลก และการค้าที่ถดถอย ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ขยายตัวเพียงร้อยละ 2 ต่ำสุดในรอบ 11 ปี