รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมฯ เร่งผู้บริหารกคช.ดำเนินแผนพลิกฟื้นสถานะ หลังหนี้โครงการบ้านเอื้ออาทรพุ่ง 90,000 ล้านบาท เตรียมเข้าหารือ กนร. ชงแผนทำเช่าซื้อแก้ปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่าน พร้อมขอเปิดวงเงินโอดีจากออมสินเพิ่ม 500 ล้านบาท เพื่อซื้อคืนหนี้ เผยนับจากตั้งโครงการซื้อคืนมาแล้ว 4,000 ยูนิต
นายอุดมเดช รัตนเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายหลังเดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ว่า ได้มอบหมายนโยบายให้แก่การเคหะในการแก้ปัญหาด้านต่างๆให้ลุล่วง รวมถึงการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้แก่ 1. การแก้ไขปัญหาหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทรประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท และหนี้สินจากการดำเนินงานโครงการต่างๆของกคช. อีก 40,000 ล้านบาท
สำหรับหนี้สินโครงการบ้านเอื้ออาทรรวมดอกเบี้ยจำนวน 90,000 ล้านบาทนั้น จะเข้าไปเจรจากับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการเช่าซื้อในโครงการบ้านเอื้ออาทร เพื่อให้สามารถขายโครงการออกไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากปัญหาของโครงการนี้คือ การที่ผู้ซื้อขอสินเชื่อไม่ผ่าน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาชีพอิสระ ทำให้ไม่มีเอกสารทางการเงินมาแสดงกับสถาบันการเงิน เหมือนกลุ่มพนักงานบริษัท รัฐวิสาหกิจ และราชาการ จึงทำให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)และธนาคารออมสินเพิ่มสูงขึ้น อยู่ที่ประมาณ 40% และปัจจุบัน กคช. มีบ้านสร้างเสร็จที่ยังไม่สามารถขายออกไปได้ประมาณ 50,000 ยูนิต นอกจากนี้ ทางกคช.จะมีการตัดขายที่ดินบางส่วนที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาโครงการออกไป เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ รวมถึงการขอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้สามารถนำโครงการบ้านเอื้ออาทรขายแบบยกตึกให้แก่เอกชน
ทั้งนี้ มาตรการแก้ไขฐานะทางการเงินของกคช. เข้าหารือในคณะกรรมการ นโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ที่มีนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 17 พ.ย.นี้ จากนั้นจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
" กคช.จะต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับการแก้ปัญหาบ้านเอื้ออาทรเพียงอย่างเดียว จะต้องดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อประชาชนในโครงการอื่นๆด้วย โดยได้ให้ดำเนินโครงการบ้านหลังแรก ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะต้องตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมีสภาพคล่องสูงอยู่ใกล้แหล่งคมนาคมเช่น รถไฟฟ้า มีสภาพคล่องสูงเพื่อให้สามารถซื้อขายได้คล่อง ราคาขายจะพิจารณาจากราคาที่ดิน และทำเลเป็นหลัก แต่ไม่คิดกำไรเหมือนการดำเนินงานของบริษัทเอกชน "นายอุดมเดช กล่าวและว่า
สำหรับโครงการฟื้นฟูแฟลตดินแดง ให้ดำเนินการซ่อมแซม จุดที่เป็นอันตรายโดยเร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยและการดำเนินการในระยะยาวให้กคช. ร่วมปรึกษากับชาวชุมชนในการแก้ปัญหาเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและแข็งแรง หากมีการพัฒนาโครงการขึ้นมาใหม่ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากชาวแฟลตดินแดงเป็นส่วนใหญ่ โดยผู้อยู่อาศัยต้องได้สิทธิ และได้เช่าในราคาพิเศษ คือครึ่งหนึ่งของต้นทุน
ด้านนายสุชาติ ศิริโยธิพันธุ์ กล่าวว่า ในการประชุมกนร. วันที่ 17 พ.ย.นี้ กคช. จะยื่นแผนพลิกฟื้นเข้าสู่ที่ประชุมโดยมีรายละเอียดหลัก เช่น 1.ขอวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี (วงเงินโอดี) จากธนาคารออมสินจำนวน 500 ล้านบาท เพื่อนำมาซื้อคืนโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่เป็นหนี้เสียขาดผ่อนส่งค่างวด 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขยายวงเงินโอดีจาก ธอส. มาแล้วจาก 300 เป็น 780 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้ซื้อบ้านเอื้ออาทรคืนกลับมาแล้ว 4,000 ยูนิต นับตั้งแต่เริ่มโครงการ 2. ขอปรับราคาบ้านเอื้อฯเพิ่มตามทำเลที่ตั้ง หลังจากต้นทุนค่าก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น 3. ขออนุมัติในหลักการให้ กคช. สามารถทำเช่าซื้อเป็นระยะเวลา 5 ปี ในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา
4. ขอวงเงินจากกระทรวงการคลังจำนวน 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.เงินชดเชยจากการขยายระยะเวลาก่อสร้างให้แก่ผู้รับเหมาเป็นระยะเวลา 180 วัน ทำให้กคช. ต้องรับแบกรับภาระจ่ายดอกเบี้ยให้แก่สถานบันการเงินเป็นวงเงิน 1,800 ล้านบาท 2. ดอกเบี้ยกรณีโอนล่าช้าเนื่องมาจากลูกค้าไม่สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ ทำให้กคช. ต้องนำกลับมาขายใหม่เป็นวงเงิน 2,000 กว่าล้านบาท 3. วงเงินชดเชย ต้นทุนดอกเบี้ยกรณีซื้อที่ดินมาเพื่อพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทร แต่ไม่สามารถก่อสร้างโครงการได้ ซึ่งในส่วนนี้จะคิดดอกเบี้ย 3 ปี เป็นวงเงิน 1,600-1,700 ล้านบาท
นายสมเกียรติ วานิชพันธุ์ รองผู้ว่าการ กคช. กล่าว ปัจจุบันลูกค้าบ้านเอื้ออาทรถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงถึง 40 % การใช้หลักเกณฑ์เช่าซื้อ โดย ในช่วงที่ผ่อนส่งค่างวดกับกคช.5 ปีแรก จะคิดเฉพาะเงินต้นทุนส่วนดอกเบี้ยและเงินต้นส่วนที่เหลือ ต้องไปขอกู้จากธนาคารในปีที่6 จะช่วยให้คนมีบ้านในภาวะวิกฤต อย่างไรก็ตามจำนวนก่อสร้างบ้านเอื้อฯในปีนี้จะเหลือประมาณ2.88 แสนยูนิตเท่านั้น
นายอุดมเดช รัตนเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายหลังเดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ว่า ได้มอบหมายนโยบายให้แก่การเคหะในการแก้ปัญหาด้านต่างๆให้ลุล่วง รวมถึงการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้แก่ 1. การแก้ไขปัญหาหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทรประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท และหนี้สินจากการดำเนินงานโครงการต่างๆของกคช. อีก 40,000 ล้านบาท
สำหรับหนี้สินโครงการบ้านเอื้ออาทรรวมดอกเบี้ยจำนวน 90,000 ล้านบาทนั้น จะเข้าไปเจรจากับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการเช่าซื้อในโครงการบ้านเอื้ออาทร เพื่อให้สามารถขายโครงการออกไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากปัญหาของโครงการนี้คือ การที่ผู้ซื้อขอสินเชื่อไม่ผ่าน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาชีพอิสระ ทำให้ไม่มีเอกสารทางการเงินมาแสดงกับสถาบันการเงิน เหมือนกลุ่มพนักงานบริษัท รัฐวิสาหกิจ และราชาการ จึงทำให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)และธนาคารออมสินเพิ่มสูงขึ้น อยู่ที่ประมาณ 40% และปัจจุบัน กคช. มีบ้านสร้างเสร็จที่ยังไม่สามารถขายออกไปได้ประมาณ 50,000 ยูนิต นอกจากนี้ ทางกคช.จะมีการตัดขายที่ดินบางส่วนที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาโครงการออกไป เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ รวมถึงการขอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้สามารถนำโครงการบ้านเอื้ออาทรขายแบบยกตึกให้แก่เอกชน
ทั้งนี้ มาตรการแก้ไขฐานะทางการเงินของกคช. เข้าหารือในคณะกรรมการ นโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ที่มีนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 17 พ.ย.นี้ จากนั้นจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
" กคช.จะต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับการแก้ปัญหาบ้านเอื้ออาทรเพียงอย่างเดียว จะต้องดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อประชาชนในโครงการอื่นๆด้วย โดยได้ให้ดำเนินโครงการบ้านหลังแรก ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะต้องตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมีสภาพคล่องสูงอยู่ใกล้แหล่งคมนาคมเช่น รถไฟฟ้า มีสภาพคล่องสูงเพื่อให้สามารถซื้อขายได้คล่อง ราคาขายจะพิจารณาจากราคาที่ดิน และทำเลเป็นหลัก แต่ไม่คิดกำไรเหมือนการดำเนินงานของบริษัทเอกชน "นายอุดมเดช กล่าวและว่า
สำหรับโครงการฟื้นฟูแฟลตดินแดง ให้ดำเนินการซ่อมแซม จุดที่เป็นอันตรายโดยเร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยและการดำเนินการในระยะยาวให้กคช. ร่วมปรึกษากับชาวชุมชนในการแก้ปัญหาเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและแข็งแรง หากมีการพัฒนาโครงการขึ้นมาใหม่ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากชาวแฟลตดินแดงเป็นส่วนใหญ่ โดยผู้อยู่อาศัยต้องได้สิทธิ และได้เช่าในราคาพิเศษ คือครึ่งหนึ่งของต้นทุน
ด้านนายสุชาติ ศิริโยธิพันธุ์ กล่าวว่า ในการประชุมกนร. วันที่ 17 พ.ย.นี้ กคช. จะยื่นแผนพลิกฟื้นเข้าสู่ที่ประชุมโดยมีรายละเอียดหลัก เช่น 1.ขอวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี (วงเงินโอดี) จากธนาคารออมสินจำนวน 500 ล้านบาท เพื่อนำมาซื้อคืนโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่เป็นหนี้เสียขาดผ่อนส่งค่างวด 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขยายวงเงินโอดีจาก ธอส. มาแล้วจาก 300 เป็น 780 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้ซื้อบ้านเอื้ออาทรคืนกลับมาแล้ว 4,000 ยูนิต นับตั้งแต่เริ่มโครงการ 2. ขอปรับราคาบ้านเอื้อฯเพิ่มตามทำเลที่ตั้ง หลังจากต้นทุนค่าก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น 3. ขออนุมัติในหลักการให้ กคช. สามารถทำเช่าซื้อเป็นระยะเวลา 5 ปี ในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา
4. ขอวงเงินจากกระทรวงการคลังจำนวน 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.เงินชดเชยจากการขยายระยะเวลาก่อสร้างให้แก่ผู้รับเหมาเป็นระยะเวลา 180 วัน ทำให้กคช. ต้องรับแบกรับภาระจ่ายดอกเบี้ยให้แก่สถานบันการเงินเป็นวงเงิน 1,800 ล้านบาท 2. ดอกเบี้ยกรณีโอนล่าช้าเนื่องมาจากลูกค้าไม่สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ ทำให้กคช. ต้องนำกลับมาขายใหม่เป็นวงเงิน 2,000 กว่าล้านบาท 3. วงเงินชดเชย ต้นทุนดอกเบี้ยกรณีซื้อที่ดินมาเพื่อพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทร แต่ไม่สามารถก่อสร้างโครงการได้ ซึ่งในส่วนนี้จะคิดดอกเบี้ย 3 ปี เป็นวงเงิน 1,600-1,700 ล้านบาท
นายสมเกียรติ วานิชพันธุ์ รองผู้ว่าการ กคช. กล่าว ปัจจุบันลูกค้าบ้านเอื้ออาทรถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงถึง 40 % การใช้หลักเกณฑ์เช่าซื้อ โดย ในช่วงที่ผ่อนส่งค่างวดกับกคช.5 ปีแรก จะคิดเฉพาะเงินต้นทุนส่วนดอกเบี้ยและเงินต้นส่วนที่เหลือ ต้องไปขอกู้จากธนาคารในปีที่6 จะช่วยให้คนมีบ้านในภาวะวิกฤต อย่างไรก็ตามจำนวนก่อสร้างบ้านเอื้อฯในปีนี้จะเหลือประมาณ2.88 แสนยูนิตเท่านั้น
