" พีรเจต " ปลื้มหลัง UKEM ใช้พาร์ใหม่หุ้นละ 0.25 บาท ส่งผลให้ มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายหุ้นคึกคัก เชื่อเพราะสภาพคล่องในกระดานเพิ่มขึ้น หนุนการซื้อขายคล่อง ประกอบกับธุรกิจเติบโตชัด ครึ่งปีแรกอวดกำไรพุ่ง 130% และครึ่งปีหลังจะโตต่อเนื่อง มั่นใจโกยรายได้เข้าเป้า 2,800 ล้านบาท
นายพีรเจต สุวรรณนภาศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) (UKEM) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัท ได้รับอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ตามมูลค่าที่ตราไว้(พาร์)ใหม่ 0.25 บาทต่อหุ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 พบว่าการซื้อขายหุ้นในกระดานเป็นไปอย่างคึกคัก มูลค่าการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนหุ้นในกระดานที่เพิ่มขึ้นหลังการแตกพาร์ ซึ่งรู้สึกพอใจต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 660 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.25 บาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 165 ล้านหุ้น ที่มูลค่าหุ้นละ 1.00 บาท
ทั้งนี้ หลังการแตกพาร์ ทำให้มีหุ้นหมุนเวียนในกระดานเพิ่มขึ้นพอเพียงต่อความต้องการของนักลงทุน ทำให้การซื้อขายในช่วง 2-3 วันทำการที่ซื้อขายด้วยพาร์ใหม่ มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 30-40 ล้านบาท จากเดิมที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพียงวันละประมาณ 1 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาจำนวนหุ้นหมุนเวียนในกระดานของ UKEM มีจำนวนไม่มากนัก จึงทำให้การซื้อขายหุ้นไม่คล่องตัวเท่าที่ควร รู้สึกพอใจกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นของ บริษัทฯ ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักในครั้งนี้ นอกเหนือจากจำนวนหุ้นหมุนเวียนในกระดานที่เพิ่มขึ้นแล้ว ก็เป็นเพราะ UKEM ถือว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ โดยมีผลประกอบการที่โดดเด่นและธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายพีรเจต กล่าวต่อถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2551 ที่ผ่านมาว่ากำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยในไตรมาสที่ 2/51มีกำไรสุทธิ 18.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 71% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/50ส่วนงวด 6เดือนแรกของปีนี้มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน มีกำไรสุทธิ 31.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129.89 % จากปีที่ผ่านมา ซึ่งผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนมาจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น บริหารจัดการต้นทุนและการส่งมอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลประกอบการของบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศจะไม่เอื้ออำนวยนัก
" ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังเติบโตไปในทิศทางที่ดี จากยอดขายที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการมุ่งขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยคาดว่าในปี 2551 จะสร้างกระตุ้นรายได้ให้อยู่ที่ระดับ 2,800 ล้านบาท ได้สำเร็จ จากปีก่อนที่ทำได้ 2,140 ล้านบาท "นายพีรเจตกล่าว
นายพีรเจต สุวรรณนภาศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) (UKEM) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัท ได้รับอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ตามมูลค่าที่ตราไว้(พาร์)ใหม่ 0.25 บาทต่อหุ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 พบว่าการซื้อขายหุ้นในกระดานเป็นไปอย่างคึกคัก มูลค่าการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนหุ้นในกระดานที่เพิ่มขึ้นหลังการแตกพาร์ ซึ่งรู้สึกพอใจต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 660 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.25 บาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 165 ล้านหุ้น ที่มูลค่าหุ้นละ 1.00 บาท
ทั้งนี้ หลังการแตกพาร์ ทำให้มีหุ้นหมุนเวียนในกระดานเพิ่มขึ้นพอเพียงต่อความต้องการของนักลงทุน ทำให้การซื้อขายในช่วง 2-3 วันทำการที่ซื้อขายด้วยพาร์ใหม่ มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 30-40 ล้านบาท จากเดิมที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพียงวันละประมาณ 1 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาจำนวนหุ้นหมุนเวียนในกระดานของ UKEM มีจำนวนไม่มากนัก จึงทำให้การซื้อขายหุ้นไม่คล่องตัวเท่าที่ควร รู้สึกพอใจกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นของ บริษัทฯ ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักในครั้งนี้ นอกเหนือจากจำนวนหุ้นหมุนเวียนในกระดานที่เพิ่มขึ้นแล้ว ก็เป็นเพราะ UKEM ถือว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ โดยมีผลประกอบการที่โดดเด่นและธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายพีรเจต กล่าวต่อถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2551 ที่ผ่านมาว่ากำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยในไตรมาสที่ 2/51มีกำไรสุทธิ 18.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 71% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/50ส่วนงวด 6เดือนแรกของปีนี้มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน มีกำไรสุทธิ 31.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129.89 % จากปีที่ผ่านมา ซึ่งผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนมาจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น บริหารจัดการต้นทุนและการส่งมอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลประกอบการของบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศจะไม่เอื้ออำนวยนัก
" ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังเติบโตไปในทิศทางที่ดี จากยอดขายที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการมุ่งขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยคาดว่าในปี 2551 จะสร้างกระตุ้นรายได้ให้อยู่ที่ระดับ 2,800 ล้านบาท ได้สำเร็จ จากปีก่อนที่ทำได้ 2,140 ล้านบาท "นายพีรเจตกล่าว