นวลิสซิ่งเผยมติที่ประชุมบอร์ดอนุมัติซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการในจำนวนไม่เกิน 7.5 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 2 ต.ค.51-1เม.ย.52 กำหนดราคาเบื้องต้นไม่เกิน 0.45 บาทต่อหุ้น วงเงินสูงสุด 40 ล้าน ระบุเพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายรัตนชัย นันทปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน)หรือ NVL แจ้งถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 5/2551 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 ว่า คณะกรรมการได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ในจำนวนไม่เกิน 75,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 1 เมษายน 2552 ในวงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 40 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทต้องเปิดเผยโครงการซื้อหุ้นคืนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 14 วัน ก่อนวันซื้อหุ้น โดยซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป ต้องไม่น้อยกว่า 10 วันและไม่เกิน 20 วัน
สำหรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืน โดยให้นำราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันก่อนวันที่บริษัทจะทำการเปิดเผยข้อมูลมาประกอบการพิจารณากำหนดราคาหุ้นด้วย ขณะที่ราคาซื้อคืนจะไม่เกินกว่าราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้า บวกด้วยจำนวนร้อยละ 15 ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว ซึ่งราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2551 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2551 เท่ากับ 0.45 บาท ต่อหุ้น
นายรัตนชัยกล่าวอีกว่า สาเหตุที่บริษัทจะทำการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย ผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืนต่อผู้ถือหุ้นนั้น จะทำให้ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่บริษัทซื้อคืนจะไม่มีสิทธิในการรับเงินปันผล นอกจากนี้ การซื้อหุ้นคืนจะทำให้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) สูงขึ้นด้วย
ขณะที่บริษัทเองจะมีสินทรัพย์สภาพคล่องและมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง และหากบริษัทดำเนินการซื้อหุ้นคืนได้ครบตามวงเงินที่ได้ระบุไว้ทั้งหมดจำนวน 40 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดโครงการซื้อหุ้นคืน จะทำให้บริษัทมีสินทรัพย์สภาพคล่องและมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเป็นจำนวน 40 ล้านบาท
อนึ่ง จำนวนผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อย (Free Float) ณ วันปิดสมุดทะเบียนล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2551 เท่ากับ 565,431,471 หุ้น หรือเท่ากับ ร้อยละ 75.39 ของทุนชำระแล้วของบริษัท
นายรัตนชัย นันทปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน)หรือ NVL แจ้งถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 5/2551 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 ว่า คณะกรรมการได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ในจำนวนไม่เกิน 75,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 1 เมษายน 2552 ในวงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 40 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทต้องเปิดเผยโครงการซื้อหุ้นคืนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 14 วัน ก่อนวันซื้อหุ้น โดยซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป ต้องไม่น้อยกว่า 10 วันและไม่เกิน 20 วัน
สำหรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืน โดยให้นำราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันก่อนวันที่บริษัทจะทำการเปิดเผยข้อมูลมาประกอบการพิจารณากำหนดราคาหุ้นด้วย ขณะที่ราคาซื้อคืนจะไม่เกินกว่าราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้า บวกด้วยจำนวนร้อยละ 15 ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว ซึ่งราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2551 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2551 เท่ากับ 0.45 บาท ต่อหุ้น
นายรัตนชัยกล่าวอีกว่า สาเหตุที่บริษัทจะทำการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย ผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืนต่อผู้ถือหุ้นนั้น จะทำให้ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่บริษัทซื้อคืนจะไม่มีสิทธิในการรับเงินปันผล นอกจากนี้ การซื้อหุ้นคืนจะทำให้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) สูงขึ้นด้วย
ขณะที่บริษัทเองจะมีสินทรัพย์สภาพคล่องและมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง และหากบริษัทดำเนินการซื้อหุ้นคืนได้ครบตามวงเงินที่ได้ระบุไว้ทั้งหมดจำนวน 40 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดโครงการซื้อหุ้นคืน จะทำให้บริษัทมีสินทรัพย์สภาพคล่องและมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเป็นจำนวน 40 ล้านบาท
อนึ่ง จำนวนผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อย (Free Float) ณ วันปิดสมุดทะเบียนล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2551 เท่ากับ 565,431,471 หุ้น หรือเท่ากับ ร้อยละ 75.39 ของทุนชำระแล้วของบริษัท
