เลขาฯ คปภ. การันตีฐานะการเงิน AIA แข็งแกร่ง เผยเงินกองทุนสำรองสูงถึง 1,107% เชื่อไม่มีปัญหาตาม AIG บริษัทแม่ แม้จะเข้าถือหุ้น 1.36% แต่ก็แยกการบริหารงานที่ชัดเจน ผู้บริหารฯ ยอมรับ เรียกตัวแทนทั่วประเทศเข้าชี้แจงสถานการณ์ด่วน ยันวางเงินประกันภัยและเงินสำรองกว่า 2.7 แสนล้าน สูงเพียงพอ มั่นใจครอบคลุมกรมธรรม์ของลูกค้าได้ทุกราย รมช.คลัง สั่งตรวจสอบการลงทุนทั้งหมดของกลุ่ม AIG ในไทย และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน
วันนี้ (16 ก.ย.) นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยถึงกรณีบริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงก์ (AIG) ซึ่งเป็นบริษัทประกันของสหรัฐมีปัญหาขาดสภาพคล่องและอาจทำให้บริษัทลูกในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย บริษัท AIA อาจมีปัญหาการขาดสภาพคล่องว่าทาง คปภ.มีกฎหมายควบคุมให้บริษัทประกันภัยต้องตั้งเงินสำรองกองทุนให้เพียงพอและเป็นไปตามกฎหมาย โดยต้องมีเงินกองทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 150 ของการประกอบธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AIA มีเงินทุนสำรองมากถึงร้อยละ 1,107 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ โดยภาพรวมฐานะของบริษัท AIA ประเทศไทยปี 2550 มีสินทรัพย์รวมตามบัญชีมากกว่า 300,000 ล้านบาท และในปีนี้ตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงเดือน ก.ค. ผลการดำเนินงานมีสินทรัพย์รวม 380,000 ล้านบาท และมีผลกำไรสะสมปี 2550 กว่า 65,000 ล้านบาท และในช่วงปี 2551 ตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงเดือน ก.ค.มีกำไรสะสมรวมกว่า 70,000 ล้านบาท
ดังนั้น บริษัท AIA จึงไม่มีปัญหาการขาดสภาพคล่อง และไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ถือกรมธรรม์ นอกจากนี้หากดูสัดส่วน AIA ประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับ AIG ของสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนหุ้นเพียงร้อยละ 1.36 เท่านั้น ซึ่งถือว่าสัดส่วนน้อยมากดังนั้นจึงฝากเตือนถึงผู้เอาประกันภัยไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารฯ AIA (ประเทศไทย) ก็ได้ออกมายืนยันว่า บริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบจากบริษัทแม่ AIG ซึ่งกำลังมีปัญหาขาดทุนเป็นจำนวนมาก โดยยืนยันว่า AIA (ประเทศไทย) อยู่ภายใต้กฎหมายของ บอร์ด คปภ. ที่ต้องวางเงินสำรองในการรับประกันภัย ซึ่งบริษัทได้วางเงินประกันภัยและเงินสำรองกว่า 270,000 ล้านบาท เป็นวงเงินสูงมากเพียงครอบคลุมกรมธรรม์ของลูกค้าทุกราย
นอกจากนี้ AIA (ประเทศไทย) รวมถึง AIA ในประเทศอื่นๆ ยังมีอิสระในการบริหารงาน แยกจากบริษัทแม่อยู่แล้ว จึงไม่ได้ส่งผลกระทบถึงกัน
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก AIA แจ้งว่า เนื่องจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ได้สร้างความกังวลต่อลูกค้าและสื่อ ที่ให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก บริษัทจึงได้แจ้งไปยังสำนักงานที่ฮ่องกง เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่สร้างความกังวลไปยังบริษัทแม่ ที่นิวยอร์ก เพื่อจะได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจต่อไป
"ขณะนี้ เราคงไม่สามารถตอบคำถามใดๆ ได้ แต่เราได้มีการประสานงานกับสนง.ที่ฮ่องกง เพื่อสอบถามประเด็นต่างๆ ที่เป็นกังวลไปแล้ว แต่เนื่องจากขณะนี้ที่นิวยอร์กยังเป็นช่วงเช้ามืด สนง.ยังปิดทำการอยู่ ดังนั้น คาดว่าเร็วๆ นี้ จะได้รับคำตอบกลับมา และจะมีการชี้แจงเรื่องนี้ต่อไป"
ทั้งนี้ AIG ซึ่งบริษัทประกันภัยรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ กำลังประสบปัญหาขาดทุนเป็นวงเงินสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 620,000 ล้านบาท ในช่วง 3Q/51 จากการเข้าไปค้ำประกันให้กับตลาดสินเชื่อบ้านในสหรัฐ
นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานบริหารระดับสูงและผู้บริหารอาวุโส ประกันชีวิตภูมิภาคเอเชีย AIA เปิดเผยว่า วันนี้บริษัทได้เรียกพนักงานและตัวแทนขายประกันระดับหัวหน้าหน่วยมาประชุมรับทราบเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะของบริษัท หลังจากลูกค้าเกิดความตื่นตระหนกกับกรณีปัญหาการขาดทุนจำนวนมากของ AIG ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และลูกค้าได้โทรศัพท์มาสอบถามเรื่องดังกล่าวจำนวนมาก
"เราได้ชี้แจงให้ตัวแทนขายประกันเข้าใจถึงฐานะการเงินของบริษัทที่ยังแข็งแกร่งมั่นคง มีสินทรัพย์รวมกว่า 3.83 แสนล้านบาท มีเงินสำรองประกันภัย (กรณีลูกค้ามาขอคืนกรมธรรม์) 286,600 ล้านบาท"
นายโทมัส ยืนยันว่า คปภ.ได้รับรองถึงฐานะการเงินของบริษัทที่ยังมั่นคง และมีเงินสำรองอยู่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด และชี้แจงว่าแม้บริษัทแม่ในสหรัฐฯ มีปัญหา ก็ไม่สามารถเรียกเงินจากบริษัทลูกกลับคืนไปได้จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจาก คปภ.ก่อน เพราะถือเป็นการดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายไทย
อย่างไรก็ดี การชี้แจงของผู้บริหาร AIA ครั้งนี้ เพื่อให้ตัวแทนขายได้ชี้แจงทำความเข้าในกับลูกค้าได้อย่างถูกต้อง เพื่อสร้างความมั่นใจต่อลูกค้าของบริษัทถึงสถานะทางการเงินที่ยังมั่นคง
ล่าสุดมีรายงานว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมช.คลัง ได้สั่งตรวสอบการลงทุนกลุ่ม AIG ในไทยอย่างใกล้ชิดและให้แบงก์ชาติเตรียมรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน พร้อมระบุว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงและกังวล คือ กรณีของที่กลุ่ม AIG เข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก ตนเองจึงได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบว่า การลงทุนของ AIG ในประเทศไทย มีจำนวนมากน้อยเพียงใด เพื่อเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้
ส่วนปัญหาการล้มละลายของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส นั้น ไม่ได้สร้างความกังวลใจมากนัก เพราะเลห์แมนฯ มีการลงทุนในไทยค่อนข้างน้อย
วันนี้ (16 ก.ย.) นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยถึงกรณีบริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงก์ (AIG) ซึ่งเป็นบริษัทประกันของสหรัฐมีปัญหาขาดสภาพคล่องและอาจทำให้บริษัทลูกในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย บริษัท AIA อาจมีปัญหาการขาดสภาพคล่องว่าทาง คปภ.มีกฎหมายควบคุมให้บริษัทประกันภัยต้องตั้งเงินสำรองกองทุนให้เพียงพอและเป็นไปตามกฎหมาย โดยต้องมีเงินกองทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 150 ของการประกอบธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AIA มีเงินทุนสำรองมากถึงร้อยละ 1,107 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ โดยภาพรวมฐานะของบริษัท AIA ประเทศไทยปี 2550 มีสินทรัพย์รวมตามบัญชีมากกว่า 300,000 ล้านบาท และในปีนี้ตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงเดือน ก.ค. ผลการดำเนินงานมีสินทรัพย์รวม 380,000 ล้านบาท และมีผลกำไรสะสมปี 2550 กว่า 65,000 ล้านบาท และในช่วงปี 2551 ตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงเดือน ก.ค.มีกำไรสะสมรวมกว่า 70,000 ล้านบาท
ดังนั้น บริษัท AIA จึงไม่มีปัญหาการขาดสภาพคล่อง และไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ถือกรมธรรม์ นอกจากนี้หากดูสัดส่วน AIA ประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับ AIG ของสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนหุ้นเพียงร้อยละ 1.36 เท่านั้น ซึ่งถือว่าสัดส่วนน้อยมากดังนั้นจึงฝากเตือนถึงผู้เอาประกันภัยไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารฯ AIA (ประเทศไทย) ก็ได้ออกมายืนยันว่า บริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบจากบริษัทแม่ AIG ซึ่งกำลังมีปัญหาขาดทุนเป็นจำนวนมาก โดยยืนยันว่า AIA (ประเทศไทย) อยู่ภายใต้กฎหมายของ บอร์ด คปภ. ที่ต้องวางเงินสำรองในการรับประกันภัย ซึ่งบริษัทได้วางเงินประกันภัยและเงินสำรองกว่า 270,000 ล้านบาท เป็นวงเงินสูงมากเพียงครอบคลุมกรมธรรม์ของลูกค้าทุกราย
นอกจากนี้ AIA (ประเทศไทย) รวมถึง AIA ในประเทศอื่นๆ ยังมีอิสระในการบริหารงาน แยกจากบริษัทแม่อยู่แล้ว จึงไม่ได้ส่งผลกระทบถึงกัน
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก AIA แจ้งว่า เนื่องจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ได้สร้างความกังวลต่อลูกค้าและสื่อ ที่ให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก บริษัทจึงได้แจ้งไปยังสำนักงานที่ฮ่องกง เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่สร้างความกังวลไปยังบริษัทแม่ ที่นิวยอร์ก เพื่อจะได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจต่อไป
"ขณะนี้ เราคงไม่สามารถตอบคำถามใดๆ ได้ แต่เราได้มีการประสานงานกับสนง.ที่ฮ่องกง เพื่อสอบถามประเด็นต่างๆ ที่เป็นกังวลไปแล้ว แต่เนื่องจากขณะนี้ที่นิวยอร์กยังเป็นช่วงเช้ามืด สนง.ยังปิดทำการอยู่ ดังนั้น คาดว่าเร็วๆ นี้ จะได้รับคำตอบกลับมา และจะมีการชี้แจงเรื่องนี้ต่อไป"
ทั้งนี้ AIG ซึ่งบริษัทประกันภัยรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ กำลังประสบปัญหาขาดทุนเป็นวงเงินสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 620,000 ล้านบาท ในช่วง 3Q/51 จากการเข้าไปค้ำประกันให้กับตลาดสินเชื่อบ้านในสหรัฐ
นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานบริหารระดับสูงและผู้บริหารอาวุโส ประกันชีวิตภูมิภาคเอเชีย AIA เปิดเผยว่า วันนี้บริษัทได้เรียกพนักงานและตัวแทนขายประกันระดับหัวหน้าหน่วยมาประชุมรับทราบเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะของบริษัท หลังจากลูกค้าเกิดความตื่นตระหนกกับกรณีปัญหาการขาดทุนจำนวนมากของ AIG ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และลูกค้าได้โทรศัพท์มาสอบถามเรื่องดังกล่าวจำนวนมาก
"เราได้ชี้แจงให้ตัวแทนขายประกันเข้าใจถึงฐานะการเงินของบริษัทที่ยังแข็งแกร่งมั่นคง มีสินทรัพย์รวมกว่า 3.83 แสนล้านบาท มีเงินสำรองประกันภัย (กรณีลูกค้ามาขอคืนกรมธรรม์) 286,600 ล้านบาท"
นายโทมัส ยืนยันว่า คปภ.ได้รับรองถึงฐานะการเงินของบริษัทที่ยังมั่นคง และมีเงินสำรองอยู่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด และชี้แจงว่าแม้บริษัทแม่ในสหรัฐฯ มีปัญหา ก็ไม่สามารถเรียกเงินจากบริษัทลูกกลับคืนไปได้จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจาก คปภ.ก่อน เพราะถือเป็นการดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายไทย
อย่างไรก็ดี การชี้แจงของผู้บริหาร AIA ครั้งนี้ เพื่อให้ตัวแทนขายได้ชี้แจงทำความเข้าในกับลูกค้าได้อย่างถูกต้อง เพื่อสร้างความมั่นใจต่อลูกค้าของบริษัทถึงสถานะทางการเงินที่ยังมั่นคง
ล่าสุดมีรายงานว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมช.คลัง ได้สั่งตรวสอบการลงทุนกลุ่ม AIG ในไทยอย่างใกล้ชิดและให้แบงก์ชาติเตรียมรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน พร้อมระบุว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงและกังวล คือ กรณีของที่กลุ่ม AIG เข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก ตนเองจึงได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบว่า การลงทุนของ AIG ในประเทศไทย มีจำนวนมากน้อยเพียงใด เพื่อเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้
ส่วนปัญหาการล้มละลายของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส นั้น ไม่ได้สร้างความกังวลใจมากนัก เพราะเลห์แมนฯ มีการลงทุนในไทยค่อนข้างน้อย